| |
นิราศเรื่องเมืองเชียงตุงผดุงเฉลิม |
| ฉลองศักดิ์นักกวีวจีเจิม |
ผสมเสริมสุดเสียงสำเนียงครวญ |
| หวังจำรูญเจริญเรืองประเทืองศักดิ์ |
แถลงรักพจน์พร่ำภาคกำสรวล |
| แสนเสน่ห์ในนุชสุดรัญจวน |
นิราศนวลนุชนาฎสวาทวาย |
| กันยายนวันที่ยี่สิบหก |
แปดหก*ศกจำร้างรักห่างหาย (* พ.ศ. 2486 ) |
| ทุกข์ระทมตรมตรอมผ่ายผอมกาย |
แสนเสียดายเสน่หาสุดอาวรณ์ |
| แม้อยู่ได้จักอยู่เป็นคู่รัก |
ไม่ห่างพักตร์พริ้งเพราเยาว์สมร |
| สมานมั่นไมตรีไม่หนีจร |
สถาพรเพิ่มผูกปลูกสัมพันธ์ |
| ราชการพระผ่านฟ้ามาบังคับ |
บ่งกำชับกระชั้นกระทันหัน |
| สั่งให้ไปอยู่ในไทยเดิมอัน |
เป็นเขตขัณฑ์ไทยใหญ่เผ่าไทยเดิม |
| กำหนดวันเดินทางอ้างมาเสร็จ |
เพื่อสำเร็จสมประสงค์การส่งเสริม |
| ภาษาไทยเผยแพร่แฉเพิ่มเติม |
สั่งให้เริ่มยึดถือลงมือทำ |
| รับคำสั่งถึงบทกำหนดแล้ว |
ขอลาแล้วครรไลไกลงามขำ |
| จงอยู่เป็นสุขขีทวีประจำ |
พี่มีกรรมจำไกลไปตามกาล |
| เกวียนมารับของส่งจำนงด่วน |
ใจพี่ป่วนดุจเอาเพลิงเผาผลาญ |
| ขนสิ่งของขึ้นเกวียนเสียเจียนนาน |
ครบต้องการบอกให้เกวียนไคลคลา |
| ถึงสี่แยกตลาดดีศรีหล่มสัก |
เกวียนต้องยักของใส่ในรถา |
| ค่าบรรทุกร้อยบาทขาดราคา |
ตามอัตรามากน้อยถอยลง |
| ขนของเสร็จรถเลื่อนเคลื่อนจากที่ |
ดวงจิตพี่ครุ่นครวญถึงนวลหง |
| รถแล่นเรื่อยไปบนถนนตรง |
พี่งวยงงติดนุชสุดอาลัย |
| ถึงเพชรบูรณ์ไม่เบิกบานใจพานเศร้า |
แสนหงอยเหงาด้วยคิดพิศมัย |
| เคยร่วมเรียงเคียงนางไม่ห่างไกล |
เวรซัดให้ไกลสมรจรจรัล |
| รถยนต์หยุดให้ลงตรงหน้าร้าน |
มีอาหารปลาปูทั้งหมูหัน |
| จะชอบซื้อสิ่งใดได้ทุกอัน |
แต่พี่นั้นปวดร้าวกลืนข้าวคาย |
| เคยกินอยู่คู่นางไม่ห่างน้อง |
บัดนี้ต้องเริดร้างรักห่างหาย |
| ยิ่งคิดมายิ่งแค้นแสนเสียดาย |
ความมุ่งหมายขาดกระเด็นเพราะเวรกรรม |
| ได้เวลารถยนต์ก็ด้นดั้น |
พาผายผันต่อไปไม่ถลำ |
| ถึงสามแยกแลลิ่วทิวเขาดำ |
จิตพี่ช้ำขุ่นแค้นแสนระทม |
| ทิวเขาคือมารกั้นกีดกันให้ |
สองเราไม่ได้พบประสบสม |
| ตัดสัมพันธ์กั้นให้พี่ไกลชม |
แสนตรอมตรมทุกข์มีทวีคูณ |
| ขึ้นเขารังวังเวงเสียงเพลงสัตว์ |
ลมสงัดฟ้าแดงแจ่มแสงสูรย์ |
| เรไรร้องหริ่งๆยิ่งเพิ่มพูน |
อกอาดูรถึงเจ้าเฝ้ารำพัน |
| จักจั่นสนั่นร้องก้องดงเงียบ |
พี่หลงเทียบว่าสำเนียงเสียงจอมขวัญ |
| เจ้าเคยร้องเพลงแข่งใต้แสงจันทร์ |
เรียงรางวัลลมสนิทจุมพิตปราง |
| ถึงชนแดนแดนใดก็ใคร่พบ |
แดนสงบถ้ามีน้องประคองข้าง |
| ก็จะเด่นเป็นแดนแมนสุรางค์ |
แดนใกล้นางสุขสวรรค์พลันเกิดแทน |
| มาถึงตะพานหินถวิลรัก |
ใจคอชักหงอยเหงาเศร้าเหลือแสน |
| อันทุกข์ของเรียมไซร้ทุกข์ไกลแดน |
รถยนต์แล่นเข้าทอดหยุดจอดนอน |
| พี่ลงรถไปพักพำนักร่ม |
ไทยนิยมเชิญให้ไปพักผ่อน |
| เห็นอยู่ใกล้วิถีพี่จึ่งจร |
ไปพักนอนหนึ่งคืนชื่นสบาย |
| รุ่งขึ้นไปสถานีเพื่อตีตั๋ว |
มองรอบทั่วหาแม่ช่างแลหาย |
| คอยรถไฟจนเวลาอาทิตย์ชาย |
เวลาบ่ายสี่ไซร้รถไฟมา |
| พี่เลือกที่นั่งดูเป็นตู้สี่ |
ยังมีที่นั่งได้ในรถา |
| อยากหาคู่สักคนนั่งสนทนา |
แต่หมดท่าไม่ยักรู้จักใคร |
| จึงนั่งเผลอเหม่อมองช่องหน้าต่าง |
ตามริมทางรถาล้วนนาไร่ |
| ถึงพิจิตรเมืองงามคิดทรามวัย |
ใครงามใจถือว่ายอดนารี |
| งามแต่รูปจูบได้ไม่หอมกลิ่น |
เหลืองขมิ้นใช่มั่นเหมือนวรรณฉวี |
| นวลเพราะแป้งใช่แห่งอินทรีย์มี |
คนจะดีเลิศได้เพราะใจงาม |
| ถึงพิษณุโลกรถไฟหยุดให้พัก |
ดูคึกคักผู้คนดูล้นหลาม |
| พี่พักแรมไทยเสรีป้ายชี้นาม |
สร้างงดงามผุดผาดสะอาดตา |
| พิษณุโลกสวยสุดพุทธชินราช |
อภิวาทย์ทุกเมื่อเหนือเกษา |
| ก่อนเข้านอนจิตมั่นน้อมวันทา |
ปรารถนาพบนาฏทุกชาติไป |
| "พรมพิราม" มองไหนไม่พบนุช |
พี่แสนสุดเพราะจิตพิสมัย |
| เห็นหญิงอื่นดื่นดาษไม่มาดใคร |
คงใฝ่ใจแต่เจ้าเยาวมาลย์ |
| ถึงพิชัยมีชัยคงได้กลับ |
หากอาภัพแล้วรักคงหักหาญ |
| นอกใจพี่หนีหักให้รักราน |
มั่นสมานมิตรใหม่ใจกาลี |
| หากบุญส่งชัยมีคงดีเด่น |
มาพบเห็นพวกพ้องทั้งน้องพี่ |
| ถือสัตย์มั่นครองใจไว้ให้ดี |
ชัยคงมีมั่งคงดั่งจงใจ |
| ถึงดาราท่าดีที่ก็เด่น |
แต่หาเห็นดาราพี่มาไม่ |
| เห็นดาราอื่นๆดาษดื่นไป |
แต่ยังไกลกับแม่พี่แลดู |
| ดาราอื่นไม่เยี่ยมทัดเทียมน้อง |
ดาราทองของพี่นี้สวยหรู |
| ในโลกนี้ใครเล่าจักเท่าพธู |
แม่โฉมตรูคือยอดหญิงมิ่งโสภา |
| อุตตรดิตถ์มองใครไม่รู้จัก |
อยากถามทักจำนรรจ์ชื่นหรรหา |
| แต่หมดหวังชังเมินต้องเดินมา |
พบแต่หน้าใหม่ใหม่ไม่ได้ความ |
| ขืนถามทักจักว่าหน้าทลึ่ง |
จึงนั่งผึ่งถือหลักไม่ทักถาม |
| สู้อดกลั้นบิ่นบ้าพยายาม |
นั่งมาตามประสาระอาใจ |
| ถึงเด่นชัยทางใหญ่แยกไปแพร่ |
พวกรถแซ่ร้องบอกออกขวักไขว่ |
| แย่งคนกันจรัลคล่องดูว่องไว |
หารายได้อาชีพต่างรีบทำ |
| เห็นทางแยกคิดใคร่ไปเที่ยวแพร่ |
เห็นสาวแส้แล้วนึกรู้สึกขำ |
| คิดคนองลองตามไปถามคำ |
เพื่อแนะนำรู้จักไว้สักราย |
| ถึงเขาพรึงรถไฟแล่นใต้ถ้ำ |
ดูมืดล้ำคิดท้อใจคอหาย |
| ห้านาทีรถแล่นแสนเสียดาย |
มีที่หมายคงสุขสนุกมือ |
| ส่วนเรียมไม่มีจุดสุดรันทด |
ต้องนั่งอดมือขยับจับหนังสือ |
| สู้นิ่งไปไม่มีที่หารือ |
จะอออือกับใครให้ระอาย |
| ถึงลำปางลมหวลจวนพลบค่ำ |
ตะวันต่ำลับไศลใจพี่หาย |
| กรรมกรว่าของหลากมีมากมาย |
ขนไหมนายผมจำนงไปส่งเวียง |
| ตกลงจ้างคิดค่าสิบห้าบาท |
ตามโอกาสมัวตรึกจะดึกเที่ยง |
| ขึ้นรถม้าพาเขย่าเข้าไปเวียง |
ยินแต่เสียงกระดิ่งกริ่งกริ่งดัง |
| หาโรงแรมในเวียงงามเที่ยงเศษ |
เกิดอาเภทหาไหนไม่สมหวัง |
| ต้องเด็ดเดี่ยวเที่ยวหาดูน่าชัง |
พอถึงยังเจริญสุขร้องปลุกดู |
| ผู้จัดการเดินก๋าออกมารับ |
พูดว่าครับห้องล่างยังว่างอยู่ |
| แต่ใกล้ส้วมต้องการเชิญท่านดู |
จำพักสู้พยายามไปตามที |
| พักผิดหลักอนามัยในคืนนั้น |
ต้องประจัญทนสู้อยู่เต็มที่ |
| เพราะหาห้องว่างไหนก็ไม่มี |
หากห้องดีแพงอย่างไรก็ใคร่ปอง |
| ในคืนนั้นหลับสนิทเพราะฤทธิ์เหนื่อย |
ร่างปวดเมื่อยพิกลแสนหม่นหมอง |
| แม่มาด้วยคงรีบบีบประคอง |
นี่พี่ต้องปวดเสียวอยู่เดียวดาย |
| ยิ่งคิดไปใจป่วนหวลละห้อย |
เรียมเศร้าสร้อยโศรกสลักไม่หักหาย |
| ทุกข์ประจำลำเค็ญไม่เว้นวาย |
พิษรักร้ายรุมเร้าเคล้าน้ำตา |
| หากจำเป็นเห็นว่าการอาชีพ |
หนุ่มไม่รีบหาไว้เมื่อไรหา |
| มัวงุ่มง่ามทุกข์ปะยามชะรา |
จะผินหน้าพึ่งใครไม่ได้การ |
| โบราณกล่าวยามจนทนเกลือกัด |
ต้องฝึกหัดสู้หล้าอย่างกล้าหาญ |
| ยึดเยี่ยงเสืออดก็ทรมาน |
จับสังหารเนื้อเองเก่งฉกรรจ์ |
| คิดอย่างนี้ดีสุดบุรุษเพศ |
ผลและเหตุเหมาะจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
| ยิ่งสมัยไทยสร้างชาติมาดสำคัญ |
ต้องปลุกปั่นตนให้เพิ่มไพบูลย์ |
| มัวกอดเข่าเศร้าสร้อยคอยแต่โชค |
คงเกิดโรคไร้ทรัพย์ถึงอับศูนย์ |
| ได้รับความยากจนก่นอาดูร |
จะเพิ่มดูนขุกเข็ญไม่เว้นวาย |
| ยิ่งยุคไทยกำลังแต่งตั้งชาติ |
ต้องสามาถฝึกปรือการซื้อขาย |
| หนักไม่เอาเบาไม่สู้ดูน่าอาย |
จำขวนขวายทำกิจคิดเลี้ยงตน |
| ทำทุกอย่างในทางสุจริต |
กระทำกิจที่ชอบประกอบผล |
| โชคลาภเกิดเพราะหมั่นฝ่าฟันทน |
พ้นยากจนถ้าทำดั่งรำพัน |
| ประเทศไทยจัดตั้งมั่งคั่งสุข |
เพิ่มสนุกยิ่งใหญ่ไทยมหันต์ |
| เจริญรุ่งเรืองรัฐเป็นอัศจรรย์ |
บรรลุขั้นมหาธานีนาม |
| เหตุผลนี้พี่จึงพึงมานะ |
ยอมสละรักเด็ดไม่เข็ดขาม |
| นิราศรักหักอาลัยไม่วู่วาม |
พยายามอดกลั้นครรไลยลา |
| โอ้หล่มสักปางเยาว์เคยเนาสุข |
จำลารุกต่อไปไกลเคหา |
| ลานิ่มเนื้อเชื้อชาติญาติกา |
ลาคณาปวงมิตรสนิทนาน |
| เคยอบอุ่นบุญคุณการุณรัก |
ร่วมสมัครผูกพันธ์มั่นสมาน |
| วิสาสะดีจริงยิ่งวงษ์วาน |
เป็นบรรหารถูกต้องคลองพระธรรม |
| คำสอนพุทธภาษิตลิขิตบอก |
ไม่หลอนหลอกฉนฉ้อเป็นข้อขำ |
| พระธรรมของดีเหลือจงเชื่อคำ |
ควรจดจำถือยึดประพฤติตาม |
| เชื่อพระธรรมคำสอนสังจรจิต |
อย่าทำผิดธรรมให้ใครเหยียดหยาม |
| เกิดเป็นคนหาที่สิ่งดีงาม |
พยายามทำอย่างแต่ข้างดี |
| รักเกียรติยศเกียรติศักดิ์รักเชื้อชื่อ |
ให้บรรลือเฟื้องฟุ้งทั่วกรุงศรี |
| วงศ์ตระกูลเบื้องหลังยังมากมี |
จะทวีเกียรติ์เด่นเหมือนเช่นเรา |
| ร่ำแล้วตื่นจากภวังค์ตั้งสติ |
ดูเอาสิเคลิ้มคิดยามจิตเฉา |
| ห้ามอย่างไรไม่หายร้ายไม่เบา |
โอ้ความเศร้าชอกช้ำระกำใจ |
| พอรุ่งเช้าย้ายห้องดูต้องจิต |
สมความคิดจิตหมองค่อยผ่องใส |
| ได้กำหนดเรียกหารถมาไว |
บอกให้ไปเคหาศึกษาธิการ |
| ถึงบ้านพักท่านศึกษาออกมารับ |
พี่คำนับส่งนายลักษณ์เป็นหลักฐาน |
| ท่านรับไว้ในมือถือวิจารณ์ |
อ่านไม่นานพูดดังคำสั่งกระทรวง |
| ให้พวกคุณมาพบสมทบนี่ |
แล้วจะมีรถทหารด่านรับช่วง |
| ส่งต่อไปเชียงรายดังหมายกระทรวง |
คุณทั้งปวงพร้อมหน้าจักพาไป |
| แต่บัดนี้ครูอุบลเป็นคนขาด |
พรุ่งนี้อาจมาทันนัดกันใหม่ |
| อีกสองวันอย่าคลาดตลาดใน |
หกโมงไปพร้อมกันอย่าผันแปร |
| เรียมรับทราบกราบลามาที่พัก |
ดวงใจชักปั่นป่วนถึงนวลแข |
| ทั้งหน้าที่ทั้งรักหนักดวงแด |
หน้าที่แลความรักพะวักพะวน |
| พอถึงวันสัญญารถมารับ |
พวกเรานับพร้อมหมู่ดูสับสน |
| ครบจำนวนถ้วนบัญชีมีทุกคน |
ขึ้นรถยนต์ราชการทหารจร |
| รถปล่อยเจ็ดสิบไมล์ว่องไวนัก |
ดูคึกคักพาวิ่งขึ้นสิงขร |
| ต้องตื่นตัวกลัวจะร่วงไม่ง่วงนอน |
ต่างสังวรระวังตัวทั่วทุกคน |
| ทางลำปางเชียงรายสายเคี้ยวคด |
เป็นหลั่นลดสูงต่ำประจำถนน |
| ถึงเมืองงาวหนาวใจให้หมองมน |
ต้องทุกข์ทนรถเขย่าเศร้าทรวงใน |
| เขตลำปางงาวนี้เหนือที่สุด |
อำเภอจุดปลายทางค่อนข้างใหญ่ |
| มีโรงร้านซื้อขายเรียงรายไป |
เห็นใครใครไม่เด่นเช่นพธู |
| ถึงพะเยาเมืองงามได้นามใหม่ |
แดนดอกไม้ไทยงามอร่ามหรู |
| พี่ลงรถเพลิดเพลินเที่ยวเดินดู |
มีโฉมตรูสวยยิ่งเพริดพริ้งพราย |
| เห็นงามงามใคร่ตามไปดูเล่น |
เห็นดั่งเช่นคำกล่าวข่าวขยาย |
| ถึงดอกสวยเด็ดดมได้ง่ายดาย |
แม้มุ่งหมายเป็นใจคงได้การ |
| อันดอกไม้ถิ่นนี้มีใจเอื้อ |
ชอบช่วยเหลือเกื้อหนุนคุณไพศาล |
| น้ำใจบุญโอ้พะเยาอยากเนานาน |
เพื่อลดรานความกลุ้มที่สุมทรวง |
| ความคิดนี้มีอยู่ชั่วครู่พัก |
เพราะความรักของพี่นี้ใหญ่หลวง |
| ซื่อฉะเพาะกัลยาสุดาดวง |
หญิงทั้งปวงไม่รักสมัครปอง |
| พอท้องฟ้าพยับฝนรถยนต์ออก |
แล่นผ่านตรอกละเมาะเลาะริมหนอง |
| ถึงเมืองพานไม่พบประสพน้อง |
เขม่นมองสายตาหานารี |
| ผ่านเมืองพานคิดพานขันวันสมรส |
น้องปรานตเคียงข้างไม่ห่างพี่ |
| มวลญาติอวยพรพิพัฒน์สวัสดี |
น้องกับพี่กราบท่านบนพานเงิน |
| คำอวยพรไพเราะเพราะปราสาท |
เสียงไม่ขาดวาทสนั่นสรรเสริญ |
| ยังจำได้ไม่ลืมปลื้มเหลือเกิน |
ฟังเพลิดเพลินพรฉ่ำพร่ำพาที |
| ถึงแม่ใจมนุษย์นี้สุดเชื่อ |
ใจเหมือนเสือบางรายคล้ายเหมือนผี |
| ยิ่งใจหญิงกลอกกลิ้งยิ่งทวี |
ใจน้องพี่อย่าเป็นเช่นจำนรรจ์ |
| จงครองใจผ่องใสไว้คอยพี่ |
ยอดนารีควรจำเป็นคำขวัญ |
| ประพฤติชอบใจชั่วอย่าพัวพัน |
จงยึดมั่นเยี่ยงหญิงมิ่งนารี |
| ถึงเชียงรายกลางคืนยามดื่นดึก |
ใจรู้สึกปั่นป่วนถึงนวลฉวี
|
| รถแล่นผ่านโรงร้านย่านยาวรี |
ไปจอดที่ในเวียงยามเที่ยงตรง |
| พวกที่ขนของหมดลงรถเสร็จ |
งานสำเร็จชื่นชมสมประสงค์ |
| เรียกสามล้อต่อไปใฝ่เจาะจง |
ให้รีบส่งโรงเรียนไม่เวียนวน |
| โรงเรียนประจำจังหวัดลัดตรงดิ่ง |
รีบร้อนจริงเร่งลัดตัดถนน |
| เพราะยามดึกเหนื่อยอ่อนจิตร้อนรน |
สามล้อด้นรุดตะบึงถึงโรงเรียน |
| ขนสิ่งของทุกอย่างลงวางไว้ |
มีเครื่องใช้เครื่องครัวเครื่องขีดเขียน |
| เตรียมเป็นเครื่องมือตอนสอนนักเรียน |
เรียมพากเพียรเตรียมถนอมพร้อมทุกอัน |
| คืนนั้นได้เข้านอนค่อนสว่าง |
จันทร์กระจ่างยามดึกนึกกระสัน |
| หวนคะนึงถึงนุชสุดรำพัน |
ใจพี่หวั่นถึงสุดาแสนอาดูร |
| โอ้กรรมใดพาให้มาไกลน้อง |
พี่หม่นหมองไม่สร่างกันแสงศูนย์ |
| ครุ่นคนึงถึงโฉมศรีทวีคูณ |
สิ่งใดปูนเปรียบได้เป็นไม่มี |
| พอรุ่งเช้าแสงทองขึ้นส่องโลก |
เรียมสุดโศกลุกฟื้นตื่นจากที่ |
| ท่านศึกษามาประสบพบพอดี |
สั่งให้พี่เปลี่ยนแปลงแต่งกายา |
| เพื่อให้ไปรายงานท่านแม่ทัพ |
ภาคพายัพเร็วพลันต่างหรรษา |
| ท่านมีนามโด่งดังดั่งสมญา |
รามอินทราผู้มีปรีชาชาญ |
| บังเอิญที่ท่านได้ไปต่างถิ่น |
พลโทผิน ชุณหวันมาบรรหาร |
| ต้อนรับเรากล่าวโอวาสประสาทการ |
จับมือประสานเตือนจิตประสิทธิ์พร |
| พี่ยืนตรงวันทยหัตถ์สัมผัสตอบ |
ท่านกล่าวขอบใจให้โอวาสสอน |
| จุดสำคัญจริงแท้แจ้งแน่นอน |
แล้วเราจรลาท่านแคล้วครรไล |
| ถึงที่พักเตรียมตัวไม่มัวช้า |
เที่ยวซื้อหาของตลาดขาดสิ่งไหน |
| เตรียมเบ็ดเสร็จครบครันโดยมั่นใจ |
เพื่อจะได้ออกเดินดำเนินจร |
| พอเช้าตรู่รถทหารผ่านมารับ |
ขึ้นรถฉับภิญโญสโมสร |
| รถแล่นเร็วรุดหน้ายิ่งอาวรณ์ |
ผ่านดงดอนแดนป่าพนาวัน |
| ถึงแม่จันทร์ตันใจอาลัยรัก |
เคยชมพักตร์จันทร์งามยามกระสัน |
| ยามจันทร์เพ็ญเด่นดวงโชติช่วงครัน |
ยามจันทร์แรมแล้วพี่ตันฤทัยตรอม |
| โอ้อนาถวาสนาชะตาพี่ |
ห่างโฉมศรีแสนอาลัยใคร่ถนอม |
| เวรพรากให้ไกลน้องจิตหมองมอม |
ถึงแม่จันพี่นี้ตรอมฤทัยทน |
| ถึงแม่สายสายใจพี่ไกลจาก |
ต้องพรัดพรากจากไกลสู่ไพรสนฑ์ |
| เหลืออาลัยไกลแดนแสนกังวล |
หัวใจจนจะแยกแตกทำลาย |
| ถึงห้วยลึกลึกอะไรไม่ลึกเท่า |
จิตคนเราลึกรุดสุดขยาย |
| ยากจะหยั่งใจคนจนวันตาย |
อย่าเชื่อหมายใจคนจนใจตัว |
| ถึงเมืองโกเขตแคว้นดินแดนใหม่ |
เมืองอย่างไรอยู่ไหนน่าใคร่หัว |
| บ้านเล็กเล็กริมคลองดูหมองมัว |
มองหาทั่วไม่มีแหล่งดีเลย |
| นี่หรือเมืองอังกฤษประสิทธิ์สร้าง |
ไยรกร้างไร้สง่าไม่ผ่าเผย |
| การเสริมสร้างแบบนี้ไม่ดีเลย |
ทำเฉยเมยหวังเงินก็เกินควร |
| ถึงเมืองเลนเลนตมมีสมชื่อ |
เห็นสาวลื้อรูปขำสำรวลสรวล |
| ขายของอยู่ริมคลองมองหน้านวล |
พูดยั่วยวนขายสุราท่าชอบกล |
| เห็นไทยเดิมเพิ่มคนองลองพูดเกี้ยว |
เรียมมาเดียวขอเหล้าเอากุศล |
| ไทยเหนือใต้ญาติห่างต่างตำบล |
ขออยู่คนสาวจ๋าโปรดปราณี |
| แม่หน้านวลตอบว่าถ้าอยากเหล้า |
ตัวข้าเจ้าเต็มใจจักให้พี่ |
| ไปแวะบ้านดื่มกันมั่นคงดี |
ข้าเจ้านี้เต็มใจจักให้ปัน |
| คำปราสัยไพเราะเสนาะโสตร |
แสนปราโมทย์คำหวานสมานฉันท์ |
| แต่รถหยุดครู่เดียวเกี้ยวไม่ทัน |
ก็เป็นอันจากไปครรไลเลย |
| ถึงพะยากเย็นหยุดจุดพักผ่อน |
ขึ้นพักนอนบนศาลานิจจาเอ๋ย |
| ฝาไม่มีลมสบัดพัดรำเพย |
คิดคู่เชยคราวชิดสนิทนอน |
| ระเกะระกะพักอยู่เป็นหมู่ตอน |
โอ้ยามจรจากเมืองเคืองระคาย |
| พักพะยากสุดลำบากยามจากรัก |
ยามจักหักยุ่งจิตคิดไม่หาย |
| ยากอื่นใดไม่เท่ารักเมามาย |
แสนเสียดายยามยากจากน้องมา |
| ยามรุ่งขึ้นรถจรในตอนเช้า |
ยังโศรกเศร้าในเล่ห์เสน่หา |
| ทุกค่ำคืนรื่นเล่นเจรจา |
เช้านี้น่าน้อยใจไม่พบนาง |
| รถแล่นขึ้นสิงขรตอนเลี้ยวลด |
ทางเคี้ยวคดแคบไปไม่กว้างขวาง |
| ประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลงไม่คงทาง |
ถ้าพลาดผางก็คงลงเหวไป |
| แต่คนขับสามารถชาตินักรบ |
รู้เจนจบคล่องนักจักหาไหน |
| เชี่ยวชำนาญการใช้พวงมาลัย |
ดูว่องไวขับฉิวแล่นลิ่วเร็ว |
| ระยะทางตอนนี้ยากที่สุด |
รถต้องรุถเลาะเลียบไปริมเหว |
| ถ้าคนขับอยู่ในขั้นในชั้นเลว |
จักแหลกเหลวพลาดฉับเป็นยับเยิน |
| ข้างซ้ายเหวขวาเขาลำเนาไม้ |
ต้องขับให้กึ่งกลางหว่างเขาเขิน |
| ใครประมาทบังเกิดเพราะเพลิดเพลิน |
มักเลยเกินตกเหวแหลกเหลวไป |
| พี่คิดคุณบิดามารดาช่วย |
ให้รอดม้วยในด่านย่านไศล |
| ประณมมือรำพันรถครรไล |
เดชะภัยพิบัติวัฒนา |
| ถึงดอยเหมยเห็นร้านสถานถิ่น |
มีตึกดินเรียงรายริมชายป่า |
| เห็นสระน้ำกว้างใหญ่ใกล้วนา |
ดาษดาบุบผานานาพันธุ์ |
| มีสนามเทนนิสวิจิตรเด่น |
อังกฤษเกณฑ์ก่อสร้างข้างขยัน |
| สร้างไว้เพื่อออกแรงสำแดงกัน |
ทุกทุกวันหย่อนใจหายลำเค็ญ |
| บนดอยนี้ปรากฏกล่าวชาวอังกฤษ |
ยอมอุทิศเวลาเพื่อมาเล่น |
| การกีฬาผาสุกทุกเช้าเย็น |
นับว่าเด่นกว่าไหนในเชียงตุง |
| รถยนต์หยุดพักใหญ่เราได้เที่ยว |
ที่แห้งเหี่ยวหุงหาวหาข้าวหุง |
| บ้างมีสะเบียงกรังพะรังพะรุง |
ไม่ต้องยุ่งหุงหาอุตส่าห์เดิน |
| เที่ยวชมดอกไม้งามอร่ามเลิศ |
ดูพรายเพลิดพิศพรรณน่าสรรเสริญ |
| พันธุ์ยุโรปก่อเกิดให้เพลิดเพลิน |
แปลกเหลือเกินปลูกสร้างได้อย่างดี |
| เสียงแตรลั่นสัญญาณ์รถาเคลื่อน |
เป็นการเตือนพวกเราให้เข้าที่ |
| ยินสัญญาณเรามาไม่ช้าที |
เรียบร้อยดีรถเคลื่อนแล่นเลื่อนจร
|
| ต่อจากนี้รถตรงลงเขาโขด |
ทางนับโยชน์แล่นตรงลงสิงขร |
| ไม่ต้องเร่งน้ำมันรถลั่นคลอน |
วิ่งสะท้อนแล่นตะบึงเสียงปึงปัง |
| ถึงเชียงตุงเขมรัฐจังหวัดใหญ่ |
เมื่อมองไปพิกลเหมือนก้นถัง |
| เมืองตั้งอยู่ในที่คีรีบัง |
ดังเวียงวังธรรมชาติประหลาดจริง |
| มีตึกกว้านใต้เหนือแต่ซาก |
ถึงมีมากก็ไร้ที่ให้สิง |
| ไร้ประโยชน์ไร้จุดสุดพักพิง |
ประหนึ่งหญิงผัวร้างห่างประคอง |
| อังกฤษถอยจีนเข้าเผาพินาศ |
ไทยสามารถบุกถิ่นจีนจองหอง |
| พอจีนหนีไทยเราเข้าครอบครอง |
แขกจีนต้องถอยร่นไม่ทนทาน |
| อังกฤษหนีที่หนึ่งถึงพะม่า |
เห็นได้ท่าหนีไทยใจไม่หาญ |
| ยินเสียงปืนกลัวตายพ่ายรอนราญ |
เผ่นทะยานข้ามท่าพะม่าไป |
| สั่งอาบังคุมเจ๊กเล็กให้สู้ |
ว่าไทยหลู่สู้ดะอย่าไถล |
| เมื่อไทยบุกแขกด้อยต้องถอยไป |
เจ๊กก็ไม่อยู่สู้ดูชอบกล |
| ถึงไทยเล็กเหล็กเพขรเด็ดที่สุด |
สู้จนจุดแตกดับไม่สับสน |
| ทุกชีวิตไทยปิดได้ทุกคน |
ไม่ถอยร่นตาขาวแม้ก้าวเดียว |
| สัญชาติไทยนั้นศักดิ์รักสงบ |
ถึงคราวรบกล้าใจไม่ฉุนเฉียว |
| สู้เด็ดขาดจนหยาดโลหิตเทียว |
ห่อนแห้งเหี่ยวใจใหญ่ไล่ตะบึง |
| สมบัติหนึ่งของคนไทยคือใจเด็ด |
มิขามเข็ดชาติไทยใจเป็นหนึ่ง |
| ตายเพื่อชาติตายได้ไม่พรั่นพรึง |
ฉะนั้นจึงได้รอดตลอดมา |
| รถส่งถึงที่พำนักได้พักผ่อน |
กายเหนื่อยอ่อนใจคิดขนิษฐา |
| ถึงเขมรัฐพลัดพรากจากกานดา |
อนิจจาเวรกรรมทำอย่างไร |
| คืนนั้นผิดอากาศขาดความสุข |
นอนแล้วลุกบังคับไม่หลับไหล |
| หวลคิดถึงโอกาสของชาติไทย |
ที่มาได้เชียงตุงมุ่งสัมพันธ์ |
| ประวัติศาสตร์ชาติไทยเคยใหญ่ยิ่ง |
เป็นความจริงไทยเล็กใช่เสกสรรค์ |
| ถึงตัวน้อยใจกล้าถ้าประจัญ |
ไทยพร้อมกันยืนสู้เหมือนผู้เดียว |
| อันนิสัยสามัคคีเป็นดีล้ำ |
ไม่เพลี่ยงพล้ำไทยคิดจิตเฉลียว |
| ไม่แตกแยกจากกันเป็นอันเดียว |
ประดุจเกลียวป่านควั่นมั่นคงทน |
| ไทยสามารถอาจหาญด้านรบรุก |
ไทยทุกยุคใจเย็นจึงเป็นผล |
| ดำรงชาติไทยได้ไม่อับจน |
ทั่วสากลพิศวงต่างงงงวย |
| พักแรมในเชียงตุงมุ่งแต่เที่ยว |
ยามเปล่าเปลี่ยวเพื่อนมากลากไปด้วย |
| เข้าที่ไหนได้ชมสาวผมมวย |
ถึงใจป่วยอุส่าห์ไปไม่เว้นงาน |
| วันหนึ่งนั้นเขามีพิธีใหญ่ |
คนไกลใกล้มาแน่นเป็นแก่นสาร |
| เพื่อเวียนเทียนรอบเมืองเรื่องสำราญ |
ต่างชื่นบานมากเรื่องคนเนืองนอง |
| เรียมครรไลไปบ้างระหว่างมิตร |
รักสนิทเพื่อนดีไม่มีสอง |
| คุณสุภาพขอนแก่นแสนคนอง |
เดินเป็นท่องแถวเขาเข้าขบวน |
| เห็นสาวเงี้ยวสำรวยร่างสวยแท้ |
ชื่อจามแพตาคมรูปสมส่วน |
| พี่เดินใกล้พาทีเรื่องที่ควร |
แม่หน้านวลพูดเพราะเสนาะกรรณ |
| เชิญรับเทียนทำบุญหน่อยคุณคะ |
จุดไหว้พระพุทธรูปสถูปนั่น |
| ขอบใจจ้าวอารีย์ยินดีครัน |
พี่รับพลันถือไว้ที่ในมือ |
| เห็นบัวนวลจ้าวหญิงมิ่งเข็มรัฐ |
สวยชะมัดเรียบร้อยน้อยไปหรือ |
| ร่างสมส่วนแลล้วนควรระบือ |
น่านับถือความงามอร่ามพราว |
| ยิ่งพิศงามยิ่งเพิ่มแทบเคลิ้มหลับ |
เกือบเผลอขับเสภาต่อหน้าสาว |
| หากเพื่อนฝูงเตือนไว้ได้เรื่องราว |
จึงแกล้งกล่าวกลบเกลื่อนกับเพื่อนกัน |
| กลับจากนั่นเราได้ไปกินเลี้ยง |
ฟังสำเนียงกึกก้องกลองสนั่น |
| บ้านเจ้าคุณนเรนทร์ฯเห็นสำคัญ |
เชิญให้ผันร่วมสนุกได้ทุกคน |
| แกงฮังเลวางสลับนับเป็นหนึ่ง |
พวกเราพึ่งสังเกตได้เหตุผล |
| แกงเช่นนี้เราไซร้ไม่เคยยล |
แต่ทุกคนชื่นชอบตามกรอบกาล |
| เสร็จเรื่องกินถึงที่มีรำฟ้อน |
พวกเราผ่อนตามบทพร่ำพจน์หวาน |
| การฟ้อนรำทำได้ไม่ชำนาญ |
ยามเบิกบานก็งามไปตามเพลง |
| ต่างขยับขับรำทำทีท่า |
ร่ายไปมาตามนางอย่างครัดเคร่ง |
| บางทีพลาดท่าลื่นฮาครื้นเครง |
เสนาะเพลงไทยเดิมเฉลิมเวียง |
| กาลสมควรลาท่านเจ้าบ้านกลับ |
พวกดีดขับเย็นเฉียบต่างเงียบเสียง |
| คุณสุมนมาส่งตรงระเบียง |
พวกเราเพียงแต่เห็นก็เย็นตา |
| มาที่พักชักร้อนนอนไม่หลับ |
คิดเพลงขับกล่อมใจให้หรรษา |
| ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา |
ในอุราร้อนเร่าเฝ้าคะนึง |
| อยู่เชียงตุงไม่เคลื่อนสี่เดือนเศษ |
ตามขอบเขตแขวงรั้วเที่ยวทั่วถึง |
| รอบเชียงตุงเที่ยวดะไปตะบึง |
มาวันหนึ่งศึกษาสั่งคลาไคล |
| ว่าผจญนั้นให้ไปเมืองขาก |
ทางลำบากไปเร็วอย่าเหลวไหล |
| ระยะทางไกลลิบแปดสิบไมล์ |
พี่ดีใจรีบเดินดำเนินจร |
| ที่เหนือเมืองเชียงตุงมีทุ่งกว้าง |
สองข้างทางหลายชั้นหลั่นสิงขร |
| ทุ่งหุบเขาแลเห็นเป็นตอนๆ |
คืนนั้นนอนหนองกังระวังภัย |
| ตัวอัปรีย์ตำรวจร้ายอ้ายสง่า |
ลักเสื้อผ้าบลูพี่หนีไปได้ |
| ทั้งแว่นตากรอบทองต้องติดไป |
แสนอาลัยหมดตัวชั่วระยำ |
| ของนายสอนศึกษาผ้าอย่างพี่ |
ก็โดนดีอ้ายบ้าคว้าขยำ |
| ถูกลักด้วยซวยแท้แย่ระยำ |
ต้องระกำนอนหนาวแสนร้าวทรวง |
| เมืองเหนือหนาวถึงคราวถูกลักเสื้อ |
แค้นใจเหลืออยากตามเพราะความหวง |
| พบคนลักจักตายอ้ายคนลวง |
ตำรวจล้วงลักผ้ากล้าคิดโกง |
| วันรุ่งเช้าปู่แสนแค่นมาพบ |
ทำเคารพส่งเสียงสำเนียงโขมง |
| เกณฑ์คนหาบมากันทันสามโมง |
มันคดโกงไฉนจึงไม่มา |
| วันพรุ่งนี้จำเป็นขอเกณฑ์ใหม่ |
เกณฑ์ให้ได้ดังมาตรปรารถนา |
| ให้ชาวก้อปางหกยกกันมา |
ตามเวลานัดแน่มิแปรปรวน |
| เดินริมน้ำห้ามผ่านสะพานขาด |
ต้องเยื้องยาตรทางดอยละห้อยหวล |
| พวกก้อมารับของต้องขบวน |
เครื่องหลังล้วนใช้ต่างอย่างวัวควาย |
| จะหาบหามอย่างไทยไม่แคล่วคล่อง |
ชอบเอาของห้อยบ่าตะกร้าหวาย |
| ประสานไหล่กันไปได้ง่ายดาย |
แรงเหมือนควายทนทานในการเดิน |
| คันนั้นนอนพักค้าง"บ้านปางหก" |
สกปรกเลอะเทอะน่าเคอะเขิน |
| พวกชาวก้อป่าไพรไม่เจริญ |
รุ่งเช้าเดินทางต่อท้อฤทัย |
| ต้องขึ้นเขาสูงชันตะวันเที่ยง |
ร้อนร่างเพียงดิ้นชักลงตักษัย |
| เหงื่อคอคางย้อยหยดระทดใจ |
น้ำเหงื่อไหลเข้าเนตรสังเวชครวญ |
| ถึง"เป็ง"ฝุ่น"บ้านก้อ"ท้อใจนัก |
ค่ำลงชักยุงฉู่เหมือนอยู่สวน |
| อาหารเย็นไก่ต้มตามสมควร |
ซื้อจากมวลพวกก้อขอแบ่งปัน |
| เช้าออกเดินต่อไปทางไกลมาก |
แสนลำบากเขาเขินเดินไต่สัน |
| ถ้าพลาดท่าจักถลาจากผาชัน |
ใจพี่สั่นแข็งข้อจรลี |
| ถึงบ้านใหม่ค่ำนักหยุดพักผ่อน |
ต้องพักนอนบนเขาเศร้าหมองศรี |
| มองซ้ายขวาเปลี่ยวเปล่าเศร้าฤดี |
ทุกข์ครั้งนี้ทุกข์ซึ้งประหนึ่งตาย |
| พอตื่นนอนรับประทานอาหารเสร็จ |
ก็ระเห็จตามหว่างหนทางหมาย |
| ดูดอยคุจทะเลเลห์เรียงราย |
มีมากมายแลเลห์ทะเลดอย |
| เรียงสลับซับซ้อนดูย้อนยอก |
เป็นโตรกซอกหาดห้วยแลเห็นหอย |
| บางแห่งหินรัศมีดังสีพลอย |
ถ้าหากกลอยใจมาจะพาชม |
| ถึงปางหูดูบ้านสถานถิ่น |
มีแต่ดินฝุ่นจับอยู่ทับถม |
| ไม่มีสิ่งอันไหนน่าใคร่ชม |
แอ่นโสมมชาวเขาไม่เข้าที |
| กินเย็นแล้วพักอยู่กับหมู่แอ่น |
ตาปู่แสนมาเยือนเหมือนน้องพี่ |
| หาเสื่อปูถูเรือนหายเปื้อนดี |
มาพาทีสนทนาภาษาไทย |
| พูดได้บ้างฟังดูพอรู้เรื่อง |
ภาษาเครื่องทำให้เข้าใจไข |
| เรียมเหนื่อยอ่อนนอนฟังอย่างตั้งใจ |
ม่อยหลับไปก่อนแอ่นแสนละอาย |
| รุ่งเช้าตื่นลาแอ่นแสนอิดอ่อน |
การพักผ่อนไม่สมอารมณ์หมาย |
| ต้องละห้อยละเหี่ยเพลียร่างกาย |
ค่อยย่างย้ายตามก้นคนหาบจร |
| ก้าวลงเรือขึ้นดอยให้น้อยจิต |
ทุกทางทิศเต็มด้วยห้วยสิงขร |
| ขึ้นแล้วลงทั่วถิ่นสิ้นดงดอน |
แสนอาวรณ์เวียนวนพ้นรัญจวน |
| ถึงผาแดงคิดแคลงผาแดงเด่น |
คอยแดงเป็นรอยแก้มแม่แย้มสรวล |
| ปรางแม่มีสีอร่ามงามยียวน |
เห็นแล้วกวนกามกลกมลตรอม |
| เห็นผางามดอยคู่ดูเหมือนง่าม |
พาใจย่ามยามยากจากเนื้อหอม |
| ถึงง่ามไม้ค้ำรักไม่ยักยอม |
มาค้ำให้ไกลถนอมยอมไม่ลง |
| คืนนั้นพักแรมย่านบ้านผาง่าม |
ทุกโมงยามไม่ละความประสงค์ |
| รักของพี่ฝังใจไว้ยืนยง |
จิตพะวงรักปลุกทุกโมงยาม |
| จากผาง่ามจรดลหนทางเถื่อน |
เดินตามเพื่อนพวกเขาเหล่าหาบหาม |
| แดดแผดเผาตอนเที่ยงเพียงเพลิงงาม |
พี่เดินข้ามไหล่เขาดเข้าไพร |
| เห็นรุกขาดารดาษเกลื่อนกลาดป่า |
ฝูงปักษาร่อนร้องก้องไศล |
| เห็นวิหคตัวเดียวเรียมเปลี่ยวใจ |
สุโนคไม่มีเพื่อนช่างเหมือนเรา |
| เสียงกระทาร้องลั่นสนั่นป่า |
ดุจพี่คร่ำครวญหาโฉมเฉลา |
| คิดสมรนอนสลบต้องซบเซา |
ไม่บรรเท่ารักรัดฤดีดาล |
| ถึงบ้านเสี้ยวเสียวใจไม่เห็นน้อง |
ทุกบ้านช่องปราศปลอดยอดสยาม |
| มองแห่งใดไม่มีที่ต้องการ |
ได้พบพานเพียงเขินเดินเอียงอาย |
| คืนนั้นพักบ้านเสี้ยวเปลี่ยวใจสุด |
เพราะไร้นุชสุดสวาทขาดสหาย |
| นอนบ้านเสี้ยวเปลี่ยวแดแต่เดียวดาย |
ไม่สบายกายีทั้งที่ทรวง |
| พอรุ่งเช้ารับไปครรไล่ล่วง |
ถึงกกม่วงอยู่ข้างหนทางหลวง |
| ทุกกระท่อมหย่อมหญ้าพี่หาดวง |
หทัยห่วงแต่นุชสุดรำพัน |
| ถึงบ้านคุ้มเมืองขากอยู่ฟากน้ำ |
เรือลอยลำคอยที่ขมีขมัน |
| ทางการให้ทะยอยรับลำดับกัน |
มีทุกวันไม่เว้นผัดเวรเรียน |
| พอทราบว่าเป็นครูมาอยู่นี่ |
เขาเร็วรี่รับพลันไม่หันเหียน |
| ขนของส่งลงเรือไม่เหลือเตียน |
เวรใหม่เปลี่ยนส่งข้ามน้ำหลวยไป |
| แล้วช่วยขนของลงตรงที่พัก |
คับแคบนักกระท่อมด้อยน้อยไฉน |
| โบราณกล่าวคับที่มิเป็นไร |
ถ้าคับใจอยู่ยากลำบากจริง |
| จัดที่พักเป็นระเบียบพอเรียบร้อย |
หวลละห้อยจิตจอดถึงยอดหญิง |
| แม้นแม่มาด้วยพี่แล้วที่จริง |
งานของหญิงแม่ทำได้ช่ำชอง |
| เรียมมาเดียวต้องงามไปตามเรื่อง |
ถ้วยชามเครื่องนอนหนาวอีกข้าวของ |
| จัดวางไว้ให้เห็นเป็นกองกอง |
ไม่เหมือนน้องจัดแล้วแม่แก้วตา |
| เรียบร้อยดีไปที่อำเภอพัก |
ท่านทายทักปราศรัยใจหรรษา |
| เรียมรายงานโดยปากวากษ์วาจา |
ท่านโอภาปราศรัยเป็นไมตรี |
| ว่าพรุ่งนี้จะประเดิมเริ่มบรรจุ |
จงบรรลุงดงามตามหน้าที่ |
| เรียมไหว้ท่านรับคำจำพาที |
สวัสดีลากลับมาทับนอน |
| อยู่เมืองขากยากเย็นเห็นแต่ป่า |
ได้พบหน้าแต่เขินข้างสิงขร |
| ไว้ผมมวยเหมือนอย่างกับนางมอญ |
ดูดูหล่อนก็งามไปตามกาล |
| นุ่งถุงยาวล่ามมาแค่ตาตุ่ม |
ดูร่ามรุ่มทีท่าน่าสงสาร |
| ใช้ผ้าแพรโพกศรีษะแลสะคราญ |
อยู่นานนานชินด้วยชักสวยดี |
| เมืองเชียงตุงมีล้วนแต่สวนฝิ่น |
ที่เป็นถิ่นลือชื่อคือดอยหมี |
|

|
| บนดอยใหญ่มีสวนล้วนฝิ่นดี |
นับเป็นที่ชื่อดังทั้งเชียงตุง |
| เรียมเป็นครูอยู่นี่ได้ปีครึ่ง |
กระทรวงจึงสั่งย้ายสมหมายมุ่ง |
| กลับหล่มสักถิ่นเดิมเพิ่มผดุง |
ท่านปรับปรุงเช่นนี้ยินดีครัน |
| กลับถึงเรือนใจเฟือนเหมือนเห็นเงี้ยว |
ยังเสียวเสียวครุ่นคิดจิตใฝ่ฝัน |
| คำนึงถึงเชียงตุงมุ่งสัมพันธ์ |
มิวายวันเว้นคิดคนึงตรอง |
| ถ้าโชคดีมีชัยคงได้พบ |
มาประสพสมหวังเป็นครั้งสอง |
| หากโชคร้ายเวรกรรมมาจำลอง |
ก็จำต้องไม่มาพบหน้ากัน |
| แต่คงถือความสัตย์มัดจิตไว้ |
ว่าเราไทยเลือดเดียวเกี่ยวกระสัน |
| กายเราห่างแต่ใจใฝ่สัมพันธ์ |
แนบแน่นมั่นคงอยู่คู่โลกเอยฯ (จบ) |