| |
นิราศเรื่องเมืองเวียงจันทร์ประพันธ์แถลง |
| ผจญเผยพจมาลย์สาส์นแสดง |
ใช่เรียมแกล้งจากสุดาหมดอาลัย |
| ความเป็นจริงกายไกลแต่ใจอยู่ |
เคลียพธูเชยชิดพิสมัย |
| กิจลูกเสือเพื่อเรื่องดูเมืองไกล |
จึงจำใจจำจากพรากรูปทอง |
| เมษายนวนเปลี่ยนโรงเรียนหยุด |
เพ็ญวันพุธศกดีปีแปดสอง* (*พ.ศ. 2482) |
| สี่สูญต้องตำราอุบากอง |
เพื่อนมาพ้องเบ็ดเสร็จรวมเจ็ดนาย |
| พร้อมด้วยรถจักรยานเตรียมการบุก |
ของบรรทุกท้ายรถกำหนดหมาย |
| จัดหาเครื่องอาหลั่ยไปกับกาย |
ฤกษ์ดีย้ายขบวนรถบทจร |
| จากหล่มสักบ่ายหน้าทิศาเหนือ |
มุ่งพักตร์เพื่อตระเวนย่านด่านศิงขร |
| ถึงสักหลงงงงวยด้วยอาวรณ์ |
เรียมรักอรหลงใหลหัวใจเดียว |
| โอ้ สักหลงคงงามตามสภาพ |
มีกุหลาบล่อภมรร่อนเหลือบเหลียว |
| เคยมาหย่อนอารมณ์ยามกลมเกลียว |
เคยมาเที่ยวชมน้องสายทองนาง |
| เร่งรีบถีบถลามาบนโคก |
ลมกรรโชกโกรกขาท้องฟ้าสาง |
| ถึงหล่มเก่าเก้าโมงเข้าโค้งทาง |
ยิ่งเหินห่างน้องมายิ่งอาดูร |
| ศึกษาชื่นกรุณาให้อาหาร |
รับประทานข้าวสะบายเหนื่อยหายสูญ |
| พี่กล่าวขอบคุณท่านฐานเกื้อกูล |
จิตใจพูนสุขาเปรมอารมณ์ |
| สี่โมงครึ่งจึงออกนอกหล่มเก่า |
ถีบรถเข้าวังบาลผ่านทางถม |
| รถเขย่าเบายั้งนั่งรับลม |
ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้มรรคา |
| ถึงด่านดู่ดูด่านอยู่ด้านไหน |
เห็นแต่ไม้ขึ้นอยู่ริมภูผา |
| น้ำพุ่งไหลเป็นฝอยปรอยธารา |
สกุณาคูขันสนั่นเนิน |
| ต้องจูงรถขึ้นไศลใจรันทด |
ทางเลี้ยวลดเลาะเข้าภูเขาเขิน |
| สู้แบกรถขึ้นป่าพากันเดิน |
ระหกระเหินปีนผาศิลาราย |
| ถึงทุ่งเทิงบ้านอยู่ยอดภูเขา |
สูรย์บังเงาผาลับดับแสงฉาย |
| เราจึงพากันนอนพักผ่อนกาย |
ที่บ้านนายบัวไขผู้ใหญ่คาม |
| อรุณรุ่งพุ่งสีระพีแผ้ว |
จึงลาแคล้วผู้ใหญ่จึงไต่ถาม |
| ถึงทางเดินต่อไปพอได้ความ |
เราเร่งข้ามภูผาพากันจร |
| จูงรถบ้างขี่บ้างมากลางเถื่อน |
ดูพวกเพื่อนสุโขสโมสร |
| ส่วนเรียมชื่นแต่หน้าใจอาวรณ์ |
หาสมรตลอดทางหว่างคีรี |
| ถึงบ้านกกจัมปานิจจาเอ๋ย |
ผิวทรามเชยผ่องกว่าจัมปาสี |
| เหลืองลออพนอนิ่มอิ่มฤดี |
หล่อชีวีให้สุขทุกคืนวัน |
| เห็นบ้านโป่งมีป่าพฤกษาสูง |
ทั้งยางยูงยมใหญ่กลางไพรสัณฑ์ |
| บ้านโป่งชีมีชีที่ไหนกัน |
หากจอมขวัญบวชชีพี่ฤายอม |
| ถึงน้ำพุไม่ลืมแวะดื่มน้ำ |
หัวอกช้ำคิดถึงน้องปองถนอม |
| น้ำใจนุชดุจวารีปรานีประนอม |
ลมุนลม่อมเหมาะแท้เป็นแม่เรือน |
| เรียมไกลเจ้าเศร้าสวาทอนาถคิด |
ดังดวงจิตถูกกรีดคมมีดเฉือน |
| ขึ้นทุ่งแทนทรวงลั่นจิตฟั่นเฟือง |
จูงรถเหมือนน้ำหนักสักสิบตัน |
| พอพ้นเขาเข้าย่านเมืองด่านซ้าย |
ตะวันชายบ่ายลับดับแสงฉัน |
| ครูสฤษดิ์ผู้มีไมตรีอนันต์ |
ช่วยจัดสรรที่ให้ไปพักนอน |
| ค่ำเชิญเลี้ยงอาหารเป็นการใหญ่ |
ให้เกียรติ์ไปพบปะสโมสร |
| เสร็จเลี้ยงมีปราศรัยกล่าวให้พร |
แล้วถึงตอนรื่นเริงบันเทิงใจ |
| มีร้องเพลงเวียนเวรตามเห็นชอบ |
ลำดับรอบเวียนขวาสัญญาไข |
| บ้างร้องเพลงสากลปนเพลงไทย |
แล้วแต่ใครสันทัดถนัดทาง |
| ดึกจนเดือนเที่ยงฟ้าต่างลาลับ |
พอเลื่อนลับเรียมหม่นกมลหมาง |
| คิดพังงาอาลัยไม่เว้นวาง |
อกอ้างว้างครวญหาสุดาดวง |
| รุ่งเช้าตื่นเตรียมกายหมายเดินหน้า |
ท่านศึกษามาส่งตรงทางหลวง |
| เราขอบบุญคุณท่านตื้นตันทรวง |
ที่ท่านห่วงเราผูกถูกอารมณ์ |
| ด่านซ้ายมีเจดีย์ศรีสองรัก |
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาคราปฐม |
| แม้ทางยากมากได้ไปเที่ยวชม |
สิ่งเหมาะสมพอใจจึงไคลคลา |
| จากด่านซ้ายทางดีมีที่โล่ง |
หนทางโปร่งป่าบางอยู่ข้างขวา |
| ถึงห้วยตาดเห็นหาดสะอาดตา |
แม้นแม่มาคงรั้งพี่นั่งชม |
| ถึงโคกงามเป็นโคกชะโงกง้ำ |
พื้นลาดต่ำติดละเมาะดูเหมาะสม |
| โอ้ โคกเอ๋ยชื่อเจ้าเร้าอารมณ์ |
แสนระทมห่างมาน่าเสียดาย |
| ถึงแก่งแล่นไม่งดถีบรถแล่น |
ล่วงข้ามแดนแก่งไฮไถงสาย |
| คิดบังอรถอนใจไม่สบาย |
อาทิตย์ชายบ่ายลัดอัสดงค์ |
| ถึงหนองบัวบัวสร้างกลางบึงใหญ่ |
น้ำเย็นใสแลราบน่าอาบสรง |
| แต่บัวยังเป็นรองของอนงค์ |
บุษบงแพ้งามบัวทรามวัย |
| อันบัวน้องของสวรรค์สรรพ์พิเศษ |
บัวในเขตแหล่งหล้าหาที่ไหน |
| เป็นบัวทองของเรียมรักเทียมใจ |
พี่จากไกลบัวทองจะหมองมัว |
| ถึงบ้านบงบงหาแก้วตาพี่ |
ทุกถิ่นที่เปล่าสูญแม่ทูนหัว |
| เห็นหญิงอื่นไม่เหมือนแม่เพื่อนตัว |
ยามเมามัวอยากเข้าไปเว้าวอน |
| ถึงสานตมค่ำจวนเห็นควรพัก |
แสนเหนื่อยนักนอนไพรไม่มีหมอน |
| คราอยู่เหย้าหมอนข้างเคยวางนอน |
พักดงดอนหมอนไม้ให้ระอา |
| เช้าย่ำรุ่งออกรถตามบทนัด |
ลมพานพัดโหวดหวูก้องภูผา |
| เคล้ากับเสียงวางโตโกกิลา |
นกไก่ฟ้าจ้าขันสนั่นไพร |
| พักหนึ่งถึงภูสวรรค์ขวางกั้นหน้า |
ประหนึ่งว่านักเลงเก่งยิ่งใหญ่ |
| เรียมจูงรถผลักส่งตรงขึ้นไป |
สูงเท่าไรต่ำกว่าเท้าเราทุกคน |
| เสียงกุญชรร้องลั่นสนั่นเถื่อน |
ทางเราเตือนกันยั้งระวังหน |
| เราลูกเสือเชื้อพยัคฆ์รู้รักษ์ตน |
ถีบรถด้นเขาใหญ่ไม่รอรี |
| พอพ้นลาดถีบถี่รถรี่เร่ง |
ที่ขี่เก่งเร่งรีบถีบซอยจี๋ |
| ถึงบ้านโคนป่าแดงทางแพร่งมี |
ผู้รู้ที่ขึ้นหน้าพากันจร |
| ผ่านบ้านม่วงมีไม่กี่ต้น |
รายปะปนยางยักษ์ที่หักถอน |
| แต่จากบ้านส้มไม่ไกลอุทร |
เห็นม่วงอ่อนในจิตรคิดลองชิม |
| ถึงท่าแพแลแม่ช่างแลลับ |
ได้ยินศัพท์สำเนียงเสียงตีขิม |
| คิดฝีปากนิ่มน้องร้องเรื่องพิม |
เจ้านั่งยิ้มขิมมีตีเสียงดัง |
| พี่นั่งชมว่าเพราะน้องเคาะค้อน |
ทำท่างอนงามโขมิโอหัง |
| เรียมรางวัลจูบตาน้องว่าชัง |
ทำเอียงนั่งเบือนหน้าตาชำเลือง |
| มัวคิดเพลินรถพาถลาแล่น |
ถึงดินแดนเลยมาอาทิตย์เหลือง |
| ไปรายงานบอกเล่าท่านเจ้าเมือง |
พอทราบเรื่องท่านไปกิจในกรุง |
| จึงพาเพื่อนไปบ้านท่านขุนเดชฯ |
ท่านสมเพชข้าวปลาสั่งหาหุง |
| จัดที่นอนมุ้งกั้นเพื่อกันยุง |
ต้อนรับมุ่งให้สุขทุกสิ่งอัน |
| รุ่งเช้าเตรียมจักรยานเปนการด่วน |
สิ่งใดควรสารพัดรีบจัดสรร |
| บรรดาเพื่อนต่างมาพร้อมหน้ากัน |
จึงผายผันพักตร์สู่ภูกระดึง |
| ทางกันดารหลายโยชน์เป็นโขดเขื่อน |
ถีบรถเหมือนล่าถอยไม่ค่อยถึง |
| ต้องพักแรมกลางป่ามาตะบึง |
สองคืนจึงถึงบ้านศรีฐานนาม |
| ผู้ใหญ่มีดีใจเชิญไปพัก |
ถึงสำนักปราศรัยเฝ้าไต่ถาม |
| เรื่องเดินทางกลางไพรพอได้ความ |
พี่เล่าตามจริงให้ผู้ใหญ่ฟัง |
| รุ่งขึ้นจ้างตาอาบหาบเครื่องใช้ |
ข้าวเหนียวใส่หวดนึ่งได้หนึ่งถัง |
| แกนำหน้างกเงินเดินระวัง |
พี่เหลียวหลังพิศผาพนาวัน |
| มาครึ่งทางมองดูภูตาแหก |
ต่างเหงื่อแตกหมดแรงหย่อนแข็งขัน |
| ต้องพักกายบ่ายหน้าดูตากัน |
ตาอาบหันหน้ามาให้จร |
| เราลุกขึ้นสลัดขาพากันย่าง |
ดูลิงค่างวิ่งวนบนศิงขร |
| มันเห็นคนแอบคบไม้หลบนอน |
บางตัวหลอนหลอกกันร้องลั่นไพร |
| เจ็ดชั่วโมงถึงแปแลลิ่วโล่ง |
เป็นลานโป่งมีต้นสนไสว |
| ทั้งมีไม้ดอกจามอร่ามไป |
ดังมีใครสร้างสรรพันธุ์ผกา |
| มีน้ำใสไหลเย็นเห็นปลาผุด |
บ้างดำมุดซุกปากรากพฤกษา |
| อากาศดีลมพัดอยู่อัตรา |
ที่เหนื่อยมาหายสนิทดังปลิดโยน |
| เสียงใบสนแกว่งฟังดังกระดิ่ง |
เสียงกร่างกริ่งวังเวงดุจเพลงโขน |
| หูฟังดังจังหวะแห่งตะโพน |
เคล้าเสียงโทนรำมะนาพาใจเพลิน |
| คืนนั้นพักเพิงสร้างอย่างแบบค่าย |
อยู่เบื้องซ้ายเชิงผาแถบป่าเถิน |
| เราผลัดกันลุกยั้งนอนนั่งเดิน |
ไม่เลยเกินในท่าหน้าที่ทำ |
| ดึกสงัดน้ำฟ้าพร่าพรมร่าง |
เดือนกระจ่างชวนจิตคิดงามขำ |
| ผิวพรรณนุชผุดผ่องดังทองคำ |
ดูเลิศล้ำยิ่งแสงแห่งจันทรา |
| เสียงเสือครางกลางดึกนึกหวั่นหวาด |
ธรรมชาติเสือแข็งแกร่งหนักหนา |
| เราลูกเสือมีนามตามสมญา |
ต้องเก่งกล้าเช่นเสือเมื่อภัยมี |
| เวลาเช้าหมอกกลุ้มลงคลุมเขา |
ลมปัดเป่ากิ่งไม้ไหวเสียดสี |
| เราเตรียมตัวลงจากพรากคีรี |
ขอลาที่ภูผาพนาลัย |
| เดินลงเขาต้องระวังตัวกลัวพลั้งพลาด |
ค่อยเยื้องยาตรเกรงจะรื่นไถล |
| สี่เท้ารู้ยังพลาดประมาทไป |
ทำสิ่งไรตรองก่อนค่อยผ่อนปรน |
| สี่ชั่วโมงพ้นเขาเข้าเขตบ้าน |
เราลาท่านผู้ใหญ่ขอไม้สน |
| ท่านอารีให้ยารักษาตน |
ว่าเบื้องบนเขานี้มีมากมาย |
| จากศรีฐานผ่านป่าพฤกษาใหญ่ |
มีหมู่ไม้ขึ้นอยู่ดูหลากหลาย |
| เราเร่งรถรุดหน้าผ่าเนินทราย |
หักเดินซ้ายขวาแคบแฉลบเอน |
| ถึงอำเภอวังสะพุงชักยุ่งคิด |
พุงสนิทยามร้างพลอยห่างเห็น |
| แสนอาดูรขุ่นใจเมื่อใกล้เย็น |
ชาวโลกเป็นทุกข์ใหญ่เรื่องไส้พุง |
| ต้องรบราฆ่าฟันกันเรื่องท้อง |
เลือดไหลนองทุกแห่งแย่งข้าวหุง |
| โอ้ อนาถคนเราเศร้าเรื่องพุง |
เราก็ยุ่งเรื่องนี้ไม่ปรีดา |
| พอลงรถท่านศึกษาฯรอดมารับ |
ท่านตรงจับมื่อสั่นแสนหรรษา |
| เชิญให้ไปพักผ่อนหย่อนกายา |
ท่านบอกว่าเรากันเองอย่าเกรงใจ |
| การรับรองวันนั้นสำคัญยิ่ง |
ทุกๆสิ่งแสนอุดมสมสมัย |
| ศึกษาฯรอดเขียวสดกำหนดไป |
พร้อมกันในโรงเรียนไม่เปลี่ยนแปลง |
| ประดาครูทั้งหลายหมายร่วมมิตร |
ต่างสนิทพูดอร่อยถ้อยแถลง |
| สังสรรกันเป็นมิตรไม่คิดแคลง |
ต่างแสดงความเย็นดีไมตรีกัน |
| รุ่งเช้าบู๊ บัวภา รื่นลากลับ |
ทั้งชิตรับรองด้วยช่วยแข็งขัน |
| รวมห้านายตามลำดับกับสุวรรณ |
ต่างแยกหันกลับสู่ยังบูรี |
| ส่วนสุคนธ์ คำ ลี่ ไม่มีย่อ |
เดินทางต่อไปอีกไม่หลีกหนี |
| ครูออนขอร่วมทางกลางพงพี |
รวมเป็นสี่ก้าวหน้าพากันจร |
| ถึงบ้านนาดอกไม้ฝนใหญ่ตก |
ต้องแบกรถยกไปริมไม้ขอน |
| ฝนเดือนห้าหลั่งมาน่าอาวรณ์ |
ทั้งเหนื่อยอ่อนจูงรถแทบหมดแรง |
| โคลนติดล้อรถใช้ไม้แคะทิ้ง |
ถึงยากยิ่งช่วยกันอย่างขันแข็ง |
| พอพลบค่ำถึงย่านบ้านหนองแซง |
ผู้ใหญ่แสงเชิญให้ไปพักนอน |
| รุ่งเช้าเดินต่อไปไม่ลดละ |
มุมานะบุกทางหว่างศิงขร |
| เห็นผาวังตั้งขวางหนทางจร |
ใจสะท้อนครุ่นหาพงางาม |
| มีผาวังวังมีอยู่ที่ไหน |
วังพระไพรหรือใครขอไต่ถาม |
| ถ้าพระไพรขออาศัยได้ติดตาม |
พานงรามมาสู่อยู่วังเวียง |
| ครูออนว่าที่นี่มีพยัคฆ์ |
มันดุนักเคยร้องกึกก้องเสียง |
| เตือนเพื่อนเดินต่อไปให้พร้อมเพรียง |
เราเดินเลี่ยงภัยมาเร่งคลาไคล |
| ถึงหนองบัวลำภูอยู่ริมหนอง |
มีบ้านช่องปลูกสร้างข้างน้ำใส |
| โรงเรียนตั้งฝั่งหนองนองวิไล |
กลางหนองใหญ่เป็ดน้ำดำเนืองนอง |
| ชาวบ้านนี้มีเมตตาไม่ฆ่านก |
จึงมีดกดื่นดาษเกลื่อนกลาดหนอง |
| ศึกษาฯที่จัดบ้านท่านรับรอง |
หาข้าวของเครื่องใช้ไว้เพียงพอ |
| คืนนั้นท่านชวนให้ไปเล่นตรุษ |
คำชอบลุดคำนับรับคำขอ |
| ไปคุยบ้านสาวประทุมพอชุ่มคอ |
เธอรูปหล่อน่ารักพักตร์ผ่องพรรณ |
| ดึกสมควรด่วนลามาที่พัก |
ยามร้างรักพาให้จิตใฝ่ฝัน |
| คิดถึงน้องนุชนาฏว่าขาดวัน |
พวกเพื่อนนั้นช่างสนุกทุกเวลา |
| เรียมหน้าชื่นอกตรมระทมทุกข์ |
ฝืนสนุกตามเพื่อนเหมือนหรรษา |
| แต่ใจจริงเรียมเศร้าห่างเจ้ามา |
ยอดสุดาคิดถึงบ้างหรืออย่างไร |
| รุ่งเช้าออกเดินทางขึ้นหว่างเขา |
ข้ามลำเนาเพลิงผาป่าไศล |
| พ้นภูพานผ่านเข้าลำเนาไพร |
ถีบรถไต่สันเขาเข้าดงยาง |
| เสียงไก่เถื่อนขันจ้าริมป่าไผ่ |
ตัวผู้ไล่เมียขยิกเข้าจิกหาง |
| นางไก่ผินบินถลาจับขานาง |
ขุนไก่กางปีกผินบินไล่ไป |
| โอ้ ไก่ช่างกระไรใจพันผูก |
รักเมียลูกจอดจิตพิสมัย |
| สู้โผบินบินตามไม่คร้ามใคร |
เพราะน้ำใจเขาถือไม่ซื่อตรง |
| แต่ใจคนบางรายร้ายกว่าสัตว์ |
สารพัตรลวงล่อพอให้หลง |
| เฝ้าปล้อนปลิ้นลิ้นยาวกล่าวเวียนวง |
พอเพื่อนหลงแล้วตัดสลัดลา |
| ถึงอุดรสามทุ่มให้กลุ้มกลัด |
รีบเร่งรัดไปบ้านท่านศึกษาฯ |
| นายสุข จำลองกุลกรุณา |
จัดห้องหาให้นอนพักผ่อนกาย |
| คืนวันนั้นการนอนค่อนลำบาก |
ร่างกายสากเพราะตอนนอนเสื่อหวาย |
| เราลูกเสือเชื้อมนุษย์บุรุษชาย |
ถึงยากไร้อดทนไม่บ่นบอน |
| ตื่นเช้าออกเที่ยวบ้านชมฐานถิ่น |
มีคนจีนไทยญวนถ้วนสลอน |
| แถวตลาดสอาดดีมีหลายตอน |
เราหยุดนอนพักหน้าศาลากลาง |
| แล้วไปเยือนภรรยาศึกษาฯรอด |
ท่านสปอร์ตใจคอก็กว้างขวาง |
| หากับข้าวเหล้ายาออกมาวาง |
ต้อนรับอย่างไม่อั้นกินกันไป |
| อะไรขาดจัดหาเอามาเพิ่ม |
ใดหมดเติมเสริมสั่งมาตั้งใหม่ |
| เราสี่คนรับประทานสำราญใจ |
คุณนายไม่ให้เขินสะเทิ้นอาย |
| ท่านช่างพูดกับแขกผู้แปลกหน้า |
สนทนาเพราะถ้อยไม่น้อยหลาย |
| พวกเรากล่างขอบบุญคุณนาย |
ในตอนบ่ายท่านทราบมีภาพยนตร์ |
| จึงชวนพวกเราให้ไปชมด้วย |
พี่เขินขวยเพราะเสื้อเปียกเหงื่อฝน |
| จำรับเชิญโดยดีทั้งสี่คน |
หนังเริ่มต้นเรื่องระบุเลือดสุพรรณ |
| กำลังเป็นที่นิยมคนชมเยียด |
ต้องเบียดเสียดอดใจไม่เหหัน |
| ด้วยหนังดีต้องทนไม่บ่นกัน |
เรียมอยู่ชั้นที่หนึ่งจึงปลอดภัย |
| หนังเลิกกลับพักกายบ้านนายแก้ว |
ท่านพูดแจ้วกล่าวแจ้งแถลงไข |
| ว่าท่านชาวหล่มสักตระกนักใจ |
ใช่อื่นไกลพวกเดียวต้องเกี่ยวพัน |
| เรียมขอบคุณท่านนักที่รักชาติ |
ในโอกาสทำการสมานฉันท์ |
| ท่านถามถึงญาติมิตรสนิทกัน |
คนนี้นั้นอยู่ไหนใครทราบความ |
| เรียมบอกข่าวท่านยิ้มด้วยอิ่มจิต |
ทำให้คิดความหลังดังคำถาม |
| ท่านหัวเราะชอบใจได้ทราบนาม |
เพื่อนฝูงยามก่อนเก่าเล่าคดี |
| ตื่นนอนครูเฉลิมมาไพเที่ยว |
สิ่งใดเกี่ยวความรู้ดูทุกที่ |
| สนามบินไปตอนก่อนสุรีย์ |
วันนั้นมีเรือทอดจอดประจำ |
| เครื่องบินนี้มาไทยจากไซง่อน |
ถึงเมื่อตอนกลางวันไม่ทันค่ำ |
| จากอุดรดอนเมืองเครื่องบินนำ |
แล้วบินล้ำเข้าพะม่าฝ่าอินเดีย |
| กลับจากนั้นห้าโมงชมโรงเรียน |
สนามเตียนหน้าฝนไม่ป่นเสีย |
| เพราะเป็นเนินสูงล้ำพ้นน้ำเลีย |
ถึงอ่อนเพลียเมื่อเห็นอยากเล่นบอลล์ |
| ครูเฉลิมพาดูทุกคูหา |
ห้องวิทยาศาสตร์ดีมีเครื่องสอน |
| ทั้งแผนที่แขวนเด่นไว้เป็นตอน |
เครื่องใช้สอนครบครันจัดสรรดี |
| นายเคซิงค์ครูภาษาออกมารับ |
ท่านขอจับมือสั่นขมันขมี |
| กูดอิฟนิ่งกล่าวคำพร่ำพาที |
สวัสดีพี่ตอบท่านชอบใจ |
| ต่อจากนั้นลาจรมาผ่อนพัก |
แต่แรมรักจิตช้ำสุดพร่ำไข |
| เห็นคนสวยอุดรอ่อนฤทัย |
ดวงแดไพร่คิดนุชสุดอาวรณ์ |
| อันหญิงอื่นอื่นก็ละออสม |
แต่อารมณ์เรียมไม่ใฝ่สมร |
| กมลพี่ถูกฝังแต่บังอร |
ถึงทุกข์ร้อนรักยังฝังทวี |
| รุ่งขึ้นไปหนองคายหมายสมัคร |
เร่งรถหนักแข่งกันขมันขมี |
| หนึ่งกิโลเวลาห้านาที |
รถใครดีขึ้นหน้าเร่งคลาไคล |
| มากลางทางลวดฟรีรถพี่ขาด |
ทั้งไม่อาจปรับแปรการแก้ไข |
| ให้ครูลี่คำออนจรต่อไป |
พักคอยในหนองคายรายงานตน |
| สองชั่วโมงล่วงพ้นรถยนต์ผ่าน |
เรียมเรียกขานรถยั้งยังถนน |
| คนขับเชิญพี่ให้ขึ้นไปบน |
คนท้ายขนรถวางกลางหลังคา |
| รถแล่นชั่วโมงครึ่งจึงจอดหยุด |
หนองคายจุดทางปลายฝ่ายทิศา |
| เจ้าของรถมีจิตคิดเมตตา |
ไม่คิดค่าโดยสารเจือจานยอม |
| เรียมกล่าวขอบคุณเขาเจ้าของรถ |
เขากล่าวพจน์เราไทยใช่แขกขอม |
| สิ่งเล็กน้อยยินดีปราณีประนอม |
ทั้งช่วยซ่อมรถให้ไม่คิดเงิน |
| พอพวกรู้มาล้อมกันพร้อมหน้า |
ต่างคนพากันพร่ำสรรเสริญ |
| ต่อมิตรผู้ช่วยด้านในการเดิน |
ให้ดำเนินพบพวกสดวกดาย |
| ต่อจากนั้นไปหาท่านข้าหลวง |
ท่านกล่าวท้วงไต่ถามตามความหมาย |
| ถึงเรื่องการไปเวียงเพียงสี่นาย |
ข้ามฝั่งซ้ายท่านว่าหาเพื่อนไป |
| ท่านขอถ่ายภาพไว้ด้วยใจรัก |
ทั้งกล่าวตักเตือนต่อข้อสงสัย |
| ออกหนังสือเดินทางให้อย่างไร |
มอบให้ไว้เพื่อเห็นเป็นสำคัญ |
| กราบลาท่านข้าหลวงเดินล่วงลัด |
เลี่ยวเข้าวัดมุ่งหมายรีบผายผัน |
| ถึงบ้านอยู่ครูอินทร์ถิ่นครูจันทร์ |
สองครูนั้นใจดีมีเมตตา |
| เชิญพี่ให้ไปยังร้านฝั่งโขง |
เรียกเหล้าโรงจัดการอาหารหา |
| ต้อนรับเราเต็มที่ด้วยปรีดา |
สนทนาถูกใจผูกไมตรี |
| ครูอินทร์จันทร์ถูกเกณฑ์เป็นมัคคุเทศ |
พาประเวศเดินตัดเข้าวัดหมี |
| ได้ถ่ายรูปร่วมพรรคสามัคคี |
ณ วัดนี้เพื่อระลึกนึกถึงกัน |
| ออกจากวัดลัดเลาะเฉพาะฝั่ง |
น้ำโขงดังใจเราเฝ้าใฝ่ฝัน |
| พวกที่ถีบรถคู่ตามครูจันทร์ |
รถส่ายสั่นทางขรุขระแล่นสะเทือน |
| ผ่านเวียงคุกเมืองเก่าเข้าท่าบ่อ |
ดูใครก็ไม่สวยสำรวยเหมือน |
| โฉมตรูพี่โชติช่วงเพียงดวงเดือน |
ใครงามเหมือนน้องได้ในเมืองคน |
| ครูอินทร์จันทร์พาหาศึกษาฯแก้ว |
ท่านยิ้มแล้วสั่งลูกน้องช่วยของขน |
| เชิญให้พี่และเพื่อนขึ้นเรือนบน |
พวกพี่ค้นข้างของเข้าห้องใน |
| ท่านศึกษาฯจัดหาข้าวปลาเลี้ยง |
อย่างพอเพียงเพราะจิตคิดเลื่อมใส |
| เราขอบคุณลาท่านผ่านต่อไป |
หนทางไกลหลายเส้นรถเผ่นมา |
| บ่ายห้าครึ่งถึงที่ศรีเชียงใหม่ |
ลงไปรับลมร่มพฤกษา |
| เห็นบัวรีโฉมยงริมคงคา |
คำพูดจาขอถ่ายภาพฉายชม |
| บัวรีสวยทรงกายให้ถ่ายภาพ |
เป็นกุหลาบหนองคายกายสวยสม |
| แก้มลักยิ้มยียวนกวนอารมณ์ |
พี่ลอบชมรู้สึกนึกโฉมตรู |
| น้องอยู่บ้านป่านนี้คงมีสุข |
พี่หรือทุกข์รันทดแสนอดสู |
| ชมใครไม่อิ่มจิตเช่นพิศพธู |
น้องยิ่งดูยิ่งงามอร่ามเรือง |
| พวกเพื่อนเตือนลงเรือเพื่อข้ามโขง |
จวนหกโมงระพีเปลี่ยนสีเหลือง |
| ขนของลงเรือชล่าข้ามหน้าเมือง |
ตรงข้ามเยื้องศรีฐานบ้านริมเวียง |
| ถึงฝั่งซ้ายตวันดับลับเหลี่ยมโลก |
ความวิโยคค่อยสิ้นได้ยินเสียง |
| แคนคลอขลุ่ยบรรเลงเพลงจำเรียง |
เราพร้อมเพรียงหกคนร่วมสนทนา |
| ครูอินทร์จันทร์อ่อนสี่พี่และคำ |
ว่าควรทำอย่างไรใคร่ปรึกษา |
| ครูจันทร์เห็นควรให้ไปเจรจา |
ดูทีท่าเหลี่ยมเล่ห์เรสิดังส์ |
| ตกลงแล้วเรารีบขึ้นถีบรถ |
โดยกำหนดเร็วช้าอยู่หน้าหลัง |
| อินทร์เตือนให้ไปขวาว่าระวัง |
พวกเราฟังคำเตือนถีบเคลื่อนมา |
| เข้าในเวียงเลี้ยวซ้ายหมายบ้านพัก |
ถึงสำนักงานใหญ่ใจหรรษา |
| คนเฝ้าบ้านเหลือบเห็นมาเจรจา |
เขาบอกว่าเรสิดังส์ยังพักนอน |
| เวลาสามทุ่มครึ่งจึงให้พบ |
ไปประสพพบปะสโมสร |
| อินทร์ว่ากลับอย่ารอเฝ้าง้องอน |
พวกเราจรบ้านสกุลของคุณอินทร์ |
| มีเตียงนอนหมอนมุ้งไม่ยุ่งยาก |
เราฝังรากรถกับอีกทรัพย์สิน |
| ถอดเครื่องเสอแต่งร่างอย่างเคยชิน |
ชวนเพื่อนผินหน้าเข้าไปเที่ยวในเวียง |
| ในเวียงจันทร์ถนนดีคนมีมาก |
แต่ว่าหากเย็นเยียบเงียบสุ้มเสียง |
| ผู้คนหงอยไม่พวงส่งสำเนียง |
มักเดินเมียงเขาซบคอยหลบนาย |
| พอเดินพบนายฝรั่งต้องนั่งไหว้ |
ประหนึ่งไพร่ขี้ข้าประดาหาย |
| เรียมเห็นเข้าเศร้าใจไม่สะบาย |
สงสารสายเชื้อชาติขาดสิทธี |
| ตึกสร้างดูเรืองรองเพียงสองชั้น |
เสมอกันรายทางข้างวิถี |
| มีไฟฟ้าท่อประปาหลั่งวารี |
โรงหนังมีหนึ่งแห่งแหล่งสำราญ |
| เรียมเดินเล่นเห็นชัดวัดพระแก้ว |
ไม่ถางแผ้วรกร้างว่างวิหาร |
| ฝรั่งปล่อยปละมาเป็นช้านาน |
ไม่มีการผดุงบำรุงเลย |
| เห็นน้ำโขงไหลเล้งเสียงเซ็งซ่า |
เร้าวิญญาณ์คิดครั้งหลังเฉลย |
| เรื่องความเก่าสกิดใจไม่สเบย |
เวียงจันทร์เอ๋ยอดีตไทยเคยได้ครอง |
| มนุษย์ทรุดอุบาทว์บังอาจเฉือน |
แผ่นดินเพื่อนไทยแยกแตกเป็นสอง |
| ให้น้ำตาเพื่อนไทยต้องไหลนอง |
คิดแล้วหมองอุราน้ำตาริน |
| ชาวเวียงจันทร์เจ็บช้ำจงจำไว้ |
ถึงแยกไปเราไทยให้ถวิล |
| ไทยรักไทยได้ผลไร้มลทิน |
ต่อไปดินไทยต้องเป็นของไทย |
| สามัคคียึดมั่นใจพันผูก |
เราเป็นลูกเลือดไทยใช่ใครไหน |
| กอดคอร่วมรักกันจนบรรลัย |
ครองดินได้แต่ใจเราไม่ยอม |
| ความรักชาติทำให้ใจครุ่นคิด |
อินทรสะกิดจึงรู้สู้ถนอม |
| สติมั่นรันทดคอยอดออม |
พวกเราพร้อมมุ่งหน้าพากันเดิน |
| เห็นฝรั่งนุ่งโสร่งสูงโย่งแอ่น |
ปากเป่าแคนสองเกลอไม่เก้อเขิน |
| เที่ยวเว้าสาวเพื่อเกิดความเลิดเพลิน |
ทำนองเกริ่นตัวว่าข้าเป็นนาย |
| บุตรใครสวยมากมีห่อนหนีพ้น |
เที่ยวเสาะค้นจนสมอารมณ์หมาย |
| เห็นเหตุนี้เขม่นขานับตาลาย |
แสนเสียดายพวกพ้องพี่น้องเรา |
| ครูจันทร์ชวนด่วนไปเที่ยวในตรอก |
สนุกออกรสแท้พอแก้เหงา |
| มีสาวญวนน้อยแน่งดังแกล้งเกลา |
โฉมเฉลาหน้าแฉล้มแก้มเป็นพวง |
| เดินชมเล่นเย็นสบายหายงุ่นง่าน |
บางนงคราญมีคู่อยู่หึงหวง |
| เห็นนางหนึ่งลูกครึ่งอวบตรึงทรวง |
สุดาดวงชายตาท่าสำออย |
| ครูอินทร์เพื่อนเตือนว่าอย่าอยู่เที่ยง |
เที่ยวพอเพียงสมควรรีบด่วนถอย |
| มีตำรวจตรวจจดสกดรอย |
เขาเฝ้าคอยดูเราแต่เข้ามา |
| พวกเรารวมพร้อมหน้าพากันกลับ |
คำขยับถึงเล่ห์เสน่หา |
| ว่าอยากคุยให้ยับแจ้งกับตา |
พวกเราฮาครืนลั่นพากันไป |
| เราทราบว่าเพลินเกินเที่ยงกลับ |
จะถูกจับขังกรงไม่สงสัย |
| ทั้งไม่มีข้อแม้แต่อย่างใด |
คุกขี้ไก่เสียด้วยซวยอัปรีย์ |
| ถึงบ้านพักเข้านอนเมื่อก่อนเที่ยง |
ยามเงียบเสียงคิดน้องแสนหมองศรี |
| โอ้ยามยากจากบุรินทุกข์สิ้นดี |
ขาดเพื่อนที่คอยพะเน้าออดเอาใจ |
| ดึกสงัดยินแต่เสียงแม่โขง |
เห็นเดือนโด่งค่อนฟ้าแจ่มจ้าใส |
| จากพธูดูเดือนเป็นเพื่อนหทัย |
พอทำให้ทุกข์คลายสบายเบา |
| คิดถึงรูปปาวีสุดที่เดือด |
ทำให้เลือดขึ้นหน้าซาโศรกเหงา |
| กลับโมโหหุนหันไม่บรรเทา |
เขาทำเราวิสัยใช่นักเลง |
| อันแผลเก่าฝังลึกรู้สึกแค้น |
คิดแล้วแสนขื่นขมถูกข่มเหง |
| เห็นไทยเล็กอวดตัวไม่กลัวเกรง |
ทำกล้าเก่งเฉือนแผ่นดินแดนไทย |
| คืนนั้นนอนอย่างไรก็ไม่หลับ |
จนเดือนดับลับเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
| อาทิตย์รุ่งพุ่งแจ้งแสงอุไร |
จึงลุกไปล้างหน้าเรียกหาออน |
| พร้อมเพื่อนด่วนชวนให้ไปตีตั๋ว |
สายไปกลัวไม่ทันใช่ผันผ่อน |
| ถึงเชียงคานเฟียสต์ครึ่งกึ่งหนึ่งทอน |
เรารีบร้อนซื้อได้ไปลงเรือ |
| เจ็ดโมงครึ่งเรือพรากออกจากฝั่ง |
เรียมเหลียวหลังแลดูผู้ช่วยเหลือ |
| ยกมือไหว้อินทร์จันทร์คอตันเครือ |
ขอลาเมือจงพิพัฒน์สวัสดี |
| ขอลาก่อนเวียงจันทร์เผ่าพันธ์มิตร |
จงสถิตมั่นอยู่สู่โสตถี |
| ขอลาก่อนนครใหญ่ไร้เสรี |
ถ้าโชคดีจะมาหย่อนอารมณ์ |
| เรือเริ่มเร่งเครื่องถี่ใช้ฝีจักร |
เสียงชึกชักหวูดฟ้องก้องผสม |
| คนโดยสารจอแจแซ่ระงม |
เรือฝ่าลมแก่งเกาะแล่นเลาะมา |
| ถึงแก่งพาลเรือเพลี่ยงหัวเอียงหัน |
คนท้ายลั่นสั่งถ่อล่อถลา |
| เรือนำโยนเชือกปังรั้งนาวา |
จึงฟันฝ่าแก่งรอดเรือปลอดภัย |
| เป็นโชคดีของชนคนโดยสาร |
ที่แก่งพาลไม่กลืนราบรื่นได้ |
| พ้นแก่งเสือเรือแล่นมาแวนไว |
ตัดน้ำไหลเชี่ยวซ่าฝ่านที |
| แม้แม่มาจะพาน้องลงล่องโขง |
เห็นเรือโคลงน้องคง ว้าย! กอดกายพี่ |
| หญิงอื่นเห็นคงอิจฉายอดนารี |
ว่านุชมีจริตงอนห่อนเกินงาม |
| น้ำโขงใสไหลเชี่ยวสานเคี้ยวคด |
หน้าน้ำลดแก่งผุดสุดเกรงขาม |
| ยามเดือนห้าแก่งร้ายคล้ายคำราม |
คนท้ายห้ามคนถ่อรอระวัง |
| ถึงที่ว่างหมดแก่งชุมแห่งนั้น |
มีผาชันสองข้างอย่างผนัง |
| หมู่ไม้ขึ้นชะอุ่มคลุมรุงรัง |
ถ้าน้องนั่งดูด้วยคงสวยดี |
| พี่มาเที่ยวดูใดไม่ออกรส |
ไม่สวยสดเฉกพิศชิดโฉมศรี |
| ดูด้วยน้องทุกอย่างช่างพาที |
ทุกสิ่งมีชีวิตมีจิตใจ |
| ทินกรโคจรลงค่อนหล้า |
ถึงแก่นฟ้าแก่งจันทร์คิดหวั่นไหว |
| ชื่อไพเราะแต่มันร้ายบรรลัย |
เคยกลืนใครต่อใครไม่ปราณี |
| นายเรือให้คนลงตรงขึ้นฝั่ง |
ไปรอยั้งท้ายแก่งแห่งเปรตผี |
| พวกเรียมขอร่วมเรือเขาเหลือดี |
เอื้ออารีเชิญให้เราไปตาม |
| ขึ้นแก่งฟ้าแก่งจันทร์นั้นแสนยาก |
นายท้ายหากใจเด็ดไม่เข็ดขาม |
| เพราะชำนาญน่านน้ำจำเขตคาม |
รู้หลบข้ามหินผารู้ท่าทาง |
| หนึ่งชั่วโมงเรือผจญจึงพ้นแก่ง |
ความเหี่ยวแห้งเหือดหายคลายหมองหมาง |
| รับคนคอยขึ้นเรือเสียงเสือคราง |
แสนอ้างว้างอุราเป็นอาจิณ |
| นิจจาเอ๋ยเคยเห็นไม่เว้นว่าง |
ต้องเหินห่างนุชนาฏสู่ห่าดหิน |
| เห็นมัจฉาเวียนว่ายชายวาริน |
เรียมรีบผินหน้าหน่ายเพราะอายปลา |
| มัจฉาเอ๋ยเจ้าดีมีคู่เคล้า |
ส่วนเราค์เปล่าห่างรักนานหนักหนา |
| แต่ร้างรักหักหายหลายทิวา |
เห็นแต่หน้าหญิงอื่นไม่ชื่นใจ |
| ตะวันลับเหลี่ยมเขาเรือเข้าจอด |
ประทับทอดริมฝั่งบังไศล |
| บางคนขึ้นบนตลิ่งนอนผิงไฟ |
หักกิ่งไม้ปลาดทำอาศน์นอน |
| คนเรือจัดยามนั่งระวังพยัคฆ์ |
ก่อไฟปักห้างไว้ริมไม่ขอน |
| ผลัดกันอยู่ยามไฟไปเป็นตอน |
เรียมเหนื่อยอ่อนเลยหลับระงับลง |
| ครั้นรุ่งแจ้งแสงสีระพีฉาย |
เรือเคลื่อนย้ายร่นระยะดังประสงค์ |
| เรียมตื่นนอนลุกนั่งยังงวยงง |
จิตพะวงถึงสุดาแสนอาดูร |
| เห็นฝั่งโขงลานตาล้วนป่าเขา |
ชะโงกเงาชะเงื้อมตั้งบังแสงสูริย์ |
| ทะมึนหมอบชะง่อนง้ำแลจำรูญ |
ริมโขงพูนเพียบแปล้แลตระการ |
| แลเห็นอ่างปลาปึกพิลึกหลาก |
เป็นชะวากเวิ้งแลแผ่ไพศาล |
| ถึงเดือนอ้ายหมายนัดเขาจัดงาน |
พิธีการจับปลาทำไม่กำกวม |
| การพนันมีสนุกทุกประเภท |
ฝรั่งเศสปล่อยปละแกล้งหละหลวม |
| เพื่อล่อใจให้หาคนมารวม |
อุบายร่วมมิตรผูกปลูกสัมพันธ์ |
| บางคนหลงว่าดีมีจิตชอบ |
ในระบอบการปกครองตรองแล้วขัน |
| เห็นการเล่นเลวล้ำว่าสำคัญ |
ชื่นชมกันว่านายเศษเพิ่นเฮ็ดดี |
| มิได้คิดทางร้ายอบายมุข |
เห็นสนุกในทางข้างบัดสี |
| เห็นอนาถคนเราเขลาเต็มที |
สิ่งกาลีหลงสวาทลืมชาติคน |
| มาถึงแก่งคุดคู้ดูน้ำเชี่ยว |
ไหลเป็นเกลียวซ่าซับและสับสน |
| ถ้าน้องมาพี่จะชวนหน้านวลยล |
วารีวนตรงหน้าศิลาลาย |
| ถึงเชียงคานบ่ายสี่แวะที่จอด |
เรือเข้าทอดริมฝั่งสมดังหมาย |
| เราขนของลงนี่ทั้งสี่นาย |
แล้วผันผายเคหาศึกษาฯพงษ์ |
| ท่านรับรองเต็มที่ชั้นดียิ่ง |
เชิญครูหญิงสำรวยสวยระหง |
| มาร่วมเลี้ยงอาหารประสานวง |
รินเหล้าส่งเชิญดื่มแสนปลื้มใจ |
| พวกพี่ไม่สันทัดถนัดนัก |
จึงท้วงทักขอตัวกลัวไม่ไหว |
| เธอว่าไม่ดื่มก็ขออภัย |
ไม่เป็นไรดิฉันปลื้มจะดื่มแทน |
| โดนดั่งนี้ใครล่ะจะใจโหด |
เรียมขอโทษกล่าวว่าโอชาแสน |
| ดื่มเท่าไรไม่เมาเหมือนเป่าแคน |
เคลิ้มถึงแดนฝั่งฟ้าในตาฟาง |
| พอเลิกการกินเลี้ยงต่างเอียงซบ |
เงียบสงบหลับล้าจนฟ้าสาง |
| ตื่นขึ้นมาความเมาไม่เบาบาง |
กว่าจะส่างต้องถอนจึงผ่อนคลาย |
| วันนั้นท่านนัดให้ไปดอนไข่ |
เรารีบไปกลัวช้าจะล่าสาย |
| ลงนาวาหน้าเชียงคานเร่งงานพาย |
คนถือท้ายคัดวาดเรือปราดไป |
| ถึงดอนไข่วาดชิดเรือติดฝั่ง |
ลงเรือยั้งแบะเสื้อขับเหงื่อไหล |
| เที่ยวเดินชมดอนเพลินเจริญใจ |
เดินเก็บไข่นกแข่งวิ่งแย่งกัน |
| คุณบัวฝักเก็บไข่ได้บ่อยบ่อย |
ฟองไม่น้อยไม่ใหญ่ใข่สวรรค์ |
| เดินคล่องแคล่วตาไวใครไม่ทัน |
บอกแบ่งปันใครแกล้งเดี๋ยวแย่งชิง |
| คุณบัวฝักอายเอียงเลี่ยงหลบนั่ง |
ว่าเรายั้งสักครู่พวกผู้หญิง |
| ถึงเวลาอาหารขี้คร้านจริง |
ใครจะวิ่งเก็บไข่ได้ก็เชิญ |
| ครูคำว่าไม่เป็นไรผมไม่หิว |
แต่ท้องหิ้วแล้วด้วยผมขวยเขิน |
| แล้วนั่งลงตรงหน้าศิลาเนิน |
พวกเราเดินตามศึกษาฯมาร่วมวง |
| อาทิตย์ย้ายชายป่าพากลับ |
ต่างลาลับไปตามความประสงค์ |
| รุ่งเช้าเรากรานลาศึกษาฯพงษ์ |
ถีบรถตรงเข้าเลยถิ่นเคยจร |
| ถึงทางแยกเลี้ยวรถกำหนดถิ่น |
ถีบรถปีนโคกเขินเนินศิงขร |
| ตามทางเดินเมื่อมาสถาพร |
แต่แรมรอนปีนป่ายนับหลายกาล |
| ถึงหล่มสักแดนเชยเคยสถิต |
วันอาทิตย์เที่ยงครึ่งถึงสถาน |
| ใช้เวลาเดินทางอยู่ข้างนาน |
สามสิบวารเศษมีสี่ชั่วโมง |
| ขอขอบคุณทุกท่านในการเกื้อ |
ได้เอื้อเฟื้อประเวศเขตฝั่งโขง |
| สิ่งศักดิ์สิทธิสรวงสวรรค์ช่วยจรรโลง |
ให้ท่านโด่งเกียรติ์กระเดื่องเฟื่องโลกา |
| คิดสิ่งใดให้สมอารมณ์มาด |
ให้เปรื่องปราชญ์ปรากฏพร้อมยศถา |
| สรวมสิ่งสุขสวัสดิ์วัฒนา |
เป็นมหาเศรษฐีมีศฤงคาร |
| ให้อายุงอกงามดั่งชามภูวราช |
พลังขนาดพญาคชสาร |
| มีฤทธิ์เดชดังองค์อวตาร |
มีบริวารสมจิตดังคิดเอย (จบ) |
| |
|