|
ปปปปปปปปปxxxxx
|
นิราศนุชสุดจิตแสนคิดถึง |
| ร้างประโลมโฉมตรูไป"ภูกระดึง"xxxxxxxxxxxxxxx |
เรียมรำพึงห่วงเจ้าเฝ้าอาลัย |
| ไม่จำเป็นเห็นใจพี่ไม่ห่าง |
จะแนบข้างนางชิดพิสมัย |
| พี่อาภัพอับโชควิโยคใจ |
เพราะยากไร้สินทรัพย์อัปประมาณ |
| หวังพึ่งพ่อก่อเสริมเพิ่มความรู้ |
ให้เชิดชูสู้หล้าได้กล้าหาญ |
| ท่านด่วนดับลับกายลงวายปราณ |
จึงได้ผ่านความรู้งูงูปลาปลา |
| หมายพึ่งแม่แต่ท่านนิพพานจาก |
ด้วยจนยากพรากไปไกลเคหา |
| พวกพี่เขาเอาไปได้เยียวยา |
เลี้ยงรักษาปราณีอารีบุญ |
| หวังพึ่งญาติชาตินี้ไม่มีแล้ว |
ด้วยต่างแนวแถวจิตไม่คิดหนุน |
| หมายพึ่งมิตรคิดเล่ห์เนรคุณ |
เขาคอยดุนดันจัดประหัสราน |
| หวังพึ่งนายหมายเป็นเช่นชั่วชาติ |
เลวอุบาทว์ขาดบ่มพรหมวิหาร |
| เป็นผู้ใหญ่ใจต่ำส่ำจัณฑาล |
มีสันดาลพาลชอบให้หมอบเลีย |
| ทำท่าปึ่งผึ่งใหญ่แต่ใจถ่อย |
ชอบกล่าวถ้อยพล่อยผางทางทรามเสีย |
| ใครประจบนบไหว้ใกล้คลอเคลีย |
ก็อ่อนเปลี้ยเสียธรรมช่วยหนำใจ |
| หมายพึ่งเมียเมียก็พอปานนั้น |
ไม่เข้าขั้นชั้นชูประตูไหน |
| มีความเห็นเป็นอย่างข้างคูไป |
ความคิดไม่สูงส่งต้องตรงกัน |
| หวังพึ่งบุตรสุดดื้อถือมานะ |
สอนให้ละปละถ่อยพลอยโมหันธ์ |
| ต้องยุ่งยากปากกล้าด่าทุกวัน |
ยังหัวรั้นต่อไปไม่ระอา |
| ตนต้องพึ่งซึ่งตนพ้นไม่ได้ |
คำพระไขไว้แท้แน่หนักหนา |
| ไม่พลาดผิดชิดคำจำนรรจา |
ศาสนาว่าจริงทุกสิ่งอัน |
| เกิดเป็นคนตนต้องผยองศักดิ์ |
ใจสูงรักพรรคดีมีเลือกสรร |
| รู้ออมทรัพย์นับหนึ่งให้ถึงพัน |
รู้อดกลั้นบั่นใจในที่ควร |
| กินเพื่ออยู่สู้ออมถนอมใช้ |
อย่าหน้าใหญ่ใจเติบเปิบเสสรวล |
| เห็นใครมาท้าเลี้ยงส่งเสียงชวน |
ทำกระบวนล้วนว่าข้ามากมี |
| อันเพื่อนกินสิ้นเงินแล้วเดินลับ |
สุดจะนับสับสนบนวิถี |
| แต่เพื่อนตายหมายยากฝากชีวี |
ในโลกนี้มีน้อยยิ่งพลอยเพชร |
| เกิดเป็นคนตนต้องผยองชื่อ |
ให้บันลือชื่อดีมีใจเด็ด |
| น้ำจิตซื่อรักยาวไม่กล่าวเท็จ |
ทั้งมีเมตตาดีมีศีลธรรม |
| ในสังคมขมขื่นไม่ชื่นแช่ม |
คนเลวแนมแย้มเยาะเคาะค่อนขำ |
| ผู้ใหญ่หยามพล่ามพล่อยถ้อยหยาบคำ |
เจ็บต้องจำงำไว้ในดวงแด |
| อีกคนมีทีท่าที่อ่าโอ่ |
ทำยะโสกรีดกรายหลายกระแส |
| เหยียดคนจนพ้นไปไม่เหลียวแล |
พวกนี้แท้แน่นักพรรคพงศ์เลว |
| เห็นแก่ตนล้นเช่นว่าเป็นเทพ |
ไม่สังเขปตนบ้างในทางเหลว |
| ทำปั้นปึ่งผึ่งผายเดินย้ายเอว |
พูดเพียงเปลวเพลิงพิษผิดหูคน |
| จากเคหาผ่านมาหน้า"ตลาด" (ตลาดหล่มสัก) |
โอ้อนาถตรงนี้พี่ฉงน |
| คืนหนึ่งเคยพบน้องเราสองคน |
ริมถนนตรงนี้พี่กับนวล |
| พี่กอดยอดนารีนี่พี่กอด |
พี่จูบยอดเทพีใจพี่ป่วน |
| ปากเรากดจรดกันสั่นกามกวน |
น้องยียวนพี่รัดสัมผัสรักษ์ |
| ราตรีนั้นจันทร์เจาเนาขอบฟ้า |
จันทร์มองมาดูเราเร้าสมัคร |
| น้องมอบร่างให้พี่ด้วยมีภักดิ์ |
พี่ยังปักจิตอยู่ไม่รู้เลือน |
| ถึง"ตรอกคลัง"ครั้งหลังยังจำได้ |
น้องเฝ้าไฟพี่ได้ไปเป็นเพื่อน |
| ตอนเช้ามืดพบแม่ไม่แชเชือน |
ตายังเฟือนแต่เราเฝ้ากอดกัน |
| โอ้ตรอกเอ๋ยเคยเด่นเป็นแดนมาศ |
เคยประสาทสุขเพ็ญเป็นสวรรค์ |
| ผ่าน"ตรอกคลัง"ครั้งไรใจตื้นตัน |
คิดแต่วันที่พะเน้าได้เคล้าคลอ |
| "ตรอกวัดป่า"เคยมาแห่ดอกไม้ |
เมื่อรักใหม่แรกผุดเริ่มจุดก่อ |
| พี่พบน้องวัดนี้ดีใจพอ |
ดังเห็นหอห้องชั้นสวรรค์เวียง |
| กลับจากแห่บุปผามาวันนั้น |
ใจพี่ปั่นป่วนบ้าใครว่าเถียง |
| ให้หงุดหงิดจิตร้อนคอยอ่อนเอียง |
จึงจัดเสี่ยงสารามาถึงนาง |
| แต่งเรื่องแห่ดอกไม้ให้น้องอ่าน |
น้องอ่านสาส์นชมพี่นี้สุดอย่าง |
| เรารักด้วยใจยืดไม่จืดจาง |
ไม่วายวางนานนักรักยังจัง |
| นิราศเก่าเราหายเสียดายนัก |
ค้นหาสักเท่าไรไม่สมหวัง |
| แต่งใหม่ไม่เหมือนเก่าเฝ้าระวัง |
เพราะความหลังเป็นกาลนมนานมา |
| ถึง"สักงอย"จงอยปากขอฝากนก |
เผ่าวิหคร้องเพลงเก่งหนักหนา |
| เรียมคนจนร้องฟังดุจดั่งกา |
ฟังศัพท์แปร่งปร่าสำเนียงไม่เกลี้ยงกลม |
| แต่ต้นสักนั้นดีของมีค่า |
ทั้งราคาสักไม้ได้สูงสม |
| เป็นสินค้าค่าแพงแจ้งนิยม |
ใครก็ชมชอบใช้ไม้ทานทน |
| ศักดิ์มนุษย์ศักดิ์ไม้ให้ตระหนัก |
คนรักษ์ศักดิ์ถือสัตย์ไม่ขัดสน |
| คนอาสัตย์ดังใจไร้ตัวตน |
อัปมงคลสิ้นดีกาลีเลว |
| ถึง"สักหลง"หลงรักโอ้สักหลง |
ใครงวยงงหลงรักมักแหลกเหลว |
| เมื่อยามรักรักไว้ถ้าใจเร็ว |
มักมีเหวขวางรักสลักทาง |
| ถึง"หล่มเก่า"รักเก่าเราเคยรัก |
พอพี่ทักใยมาทำตาขวาง |
| หรือพบใหม่มั่งมีไมตรีจาง |
อางขนางแหนงหน่ายไม่หมายเลย |
| ถึง"วังบาล"บ้านนี้เคยมีชู้ |
นางงามผู้พริ้งเพริศงามเปิดเผย |
| หล่อนโสภาน่าชมภิรมย์เชย |
แต่บุญเคยสร้างไว้เพียงให้รัก |
| ถึง"น้ำขอบ"ชอบใจน้ำใสแท้ |
อยากลงแช่อาบเล่นเช่นแปลงปลัก |
| น้ำใจคนคดกระไรยิ่งใจยักษ์ |
อย่าเชื่อนักเชื่อคนจักหม่นใจ |
| เกิดชาตินี้เห็นสตรีมีแต่รัก |
คงบาปหนักโอ้กรรมทำไฉน |
| แต่รักซื่อเที่ยงแท้ไม่แปรไป |
เฉลี่ยให้เท่ากันมิผันแปร |
| ซื่อต่อรักจักเทียบเปรียบจะเด็ด |
เสมือนเพชรนารีศรีดวงแข |
| องค์จันทรามารศรีเปรมปรีดิ์แด |
ถือสัตย์แน่ในรักประจักษ์ใจ |
| ถึง"ด่านดู่"อยู่ใกล้ไศลลาด |
ภานุมาศคล้อยเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
| ข้าม"น้ำพุง"จูงรถบทจรไป |
เสียงน้ำไหลซ่าซ่าพาใจเพลิน |
| ศิลารายหลายก้อนบางตอนต่ำ |
ก้อนใหญ่ง้ำอยู่แถวแนวเขาเขิน |
| ดังแท่นรัตน์ชัชวาลตระการเกิน |
ที่ริมเนินธาราซ่ากระเซ็น |
| ธรรมชาติอาจน้อมย้อมใจสุข |
ปลดเปลื้องทุกข์ให้หายคลายขุกเข็ญ |
| เมื่อยามยากจากรักชักลำเค็ญ |
ยามเย็นเย็นใจเสียวเปลี่ยววังเวง |
| นางชะนีมี่ร้องก้องป่าใหญ่ |
ดังคนไข้ระดมเข้าข่มเหง |
| นางโมราฆ่าผัวไม่กลัวเกรง |
ทำชั่วเองกรรมสนองอย่าร้องไป |
| หญิงใจชั่วผัวนุชสุดสวาท |
อุส่าห์ปาดกายเชือดรองเลือดให้ |
| เจ้าดื่มเลือดผัวปลอดรอดบรรลัย |
ควรหรือให้โจรฆ่าสามีมรณ์ |
| ใจร้ายเหลือเสือป่าโมราเอ๋ย |
เวรเสวยสั่งเจ้าเฝ้าสิงขร |
| เป็นชะนีมี่ร้องก้องดงดอน |
จงเห่าหอนตามกรรมที่ทำมา |
| ถึง"บ้านโป่ง"โล่งลิ่วเป็นทิวกว้าง |
อกอ้างว้างว้าเหว่ไกลเคหา |
| ให้แสบเสียวทรวงสั่นหวั่นวิญญาณ์ |
เห็นแต่ฟ้ากับเขาแสนเศร้าใจ |
| ถึง"ทุ่งเทิง"เชิงผาอ้าเปิดเผย |
ลมรำเพยพฤกษาลดาไหว |
| มองเงื้อมง่อนผาดำเห็นรำไร |
มีต้นไม้ยางขึ้นยืนตระการ |
| สุริยนสนธยาอำลาเขา |
ลมยิ่งเป่าเคล้าร่ำลำละหาร |
| เรียมพักนอนตามกรรมไร้สำราญ |
รุ่งเช้าผ่านบ้านนี้เร่งลีลา |
| ถึง"บ้านกกจัมปา"อากาศโปร่ง |
ตะวันโด่งพ้นผ่านย่านภูเขา |
| ทิ้งทูตร้องก้องลั่นเป็นสัญญาณ์ |
ฝูงไก่ป่าขันแซร่เห็นแต่ไกล |
| ดุเหว่าแว่วเสียงหวานสท้านจิต |
เกาสะกิดความหลังให้หลั่งไหล |
| เมื่อแรกรักเคยนั่งฟังนกไพร |
พี่ชี้ให้น้องดูสกุณา |
| กระทาขันสนั่นเสียงสำเนียงเพราะ |
ขุนทองเกาะแนบนิ่งกิ่งพฤกษา |
| โอ้ขุนทองหมองคู่อยู่เอกา |
อนิจจาอกนกเหมือนอกเรา |
| ถึง"น้ำพุ"พุลั่นดันดินออก |
เสียงจอกจอกลงล่างไม่ห่างเขา |
| พี่แวะดื่มพักร้อนเพื่อผ่อนเบา |
แล้วลัดเข้ามรรคาพากันเดิน |
| หนทางยากมากล้นทนลำบาก |
ถึงที่ยากรถขี่คนด้นเขาเขิน |
| ถึงทางดีคนขี่รถรี่เพลิน |
แต่ดำเนินดังนี้มีหลายครา |
| ผลักกันขี่คนละทีดีใช่เล่น |
เจ็บบ่าเส้นสายขึงตึงแข้งขา |
| แต่ทนสู้อย่างศักดิ์นักกีฬา |
ถีบรถารุดต่อไม่รอรี |
| ถึง"ทุ่งแทน"เขาใหญ่ดุจไกลาส |
ผืนผงาดขวางทางหว่างวิถี |
| พี่จูงรถผลักดันดั้นพงพี |
หนักสิ้นดีแต่ว่าอุส่าห์ดัน |
| เหงื่อซึมไหลไคลย้อยปรอยเปียกร่าง |
คิดถึงนางเรี่ยวแรงค่อยแข็งขัน |
| ใช้ความอดมานะเข้าประจัญ |
จึงเป็นอันผ่านพ้นได้ผลดี |
| ถึง"ด่านซ้าย"ซ้ายขวาแลหน้าหลัง |
พี่คอยตั้งใจดูอยู่เต็มที่ |
| เห็นคนอื่นน้องยานั้นหามี |
อกของพี่ปั่นป่วนจวนแตกตาย |
| เรียมแวะไป"เจดีย์ศรีสองรัก" |
นั่งก้มพักตร์กราบไหว้ใจมาดหมาย |
| อธิษฐานด้านสุขสนุกสบาย |
หญิงทั้งหลายพบเห็นให้เอ็นดู |
| ชาตินี้ข้ารักหลงพะวงหญิง |
รักหญิงยิ่งดวงจิตคิดอดสู |
| หญิงเล่นตัวข้าโลมแม่โฉมตรู |
ขอธาตุกู้เกียรติข้าเรื่องนารี |
| หญิงใดเห็นข้าให้ใฝ่ใจรัก |
มอบสมัครรักมั่นมิผันหนี |
| ให้ลุ่มหลงรักข้าทุกนาที |
อุทิศพลีใจนอบยอมมอบกาย |
|

|
|
ภาพถ่าย พระธาตุเจดีย์ศรีสองรัก จังหวัดเลย ปี พ.ศ. 2557
|
| ประวัติกล่าวเจดีย์ศรีสองรัก |
ว่าเป็นหลักสองประเทศปักเขตหมาย |
| จักรพรรดิ์ฉัตรนครบวรขจาย |
กษัตริย์ฝ่ายอยุธยาจอมธานี |
| กับพระไชยเชษฐาราชาธิราช |
ดำรงอาสน์ศรีสัตต์ฯเลิศรัศมี |
| ร่วมตกลงเขตรัฐแดนปัฐพี |
ผูกไมตรีกันไว้ไม่รุกราน |
| ศิลาจารึกมีพี่ได้เห็น |
นับว่าเป็นใหญ่โตโบราณสถาน |
| "ศรีสองรัก"เรียมรักเจ้าเยาวมาลย์ |
มั่นคงปานศิลาจารึกลง |
| ถึง"ห้วยตาด"สะอาดตาน่านั่งเล่น |
น้ำใสเห็นตัวปลาน่าอาบสรง |
| กรวดทรายมีหลากสีพี่ยืนงง |
น้องมาคงชวนพี่ให้ชี้ชม |
| ถึง"โคกงาม"นามโคกชวนโศกจิต |
พี่ครุ่นคิดโคกเจ้าเฝ้าขื่นขม |
| คนเคยชิดเสน่หาผูกอารมณ์ |
มาห่างสมพิศวาทอนาถใจ |
| ถึง"แก่งแล่น"รีบรุดไม่หยุดรถ |
ใจรันทดถึงรักหักไม่ไหว |
| แก่งแล่นหยุดไม่แล่นไปแดนไกล |
เรียมแล่นไปพ้นแก่งแหล่งพนา |
| ถึง"แก่งไฮ"ไกลนุชสุดสวาดิ์ |
พี่คลาคลาดแก้วเกินมาเนินผา |
| แสนว้าเหว่อ้างว้างไม่สร่างซา |
ใช้ราวป่าเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน |
| ถึง"หนองบัว"บัวใหญ่มีในน้ำ |
ภมรกล้ำไชเรณูอยู่กล่นเกลื่อน |
| พี่บงบัวใบงตั้งตาเยือน |
ดูช่างเหมือนบัวทองของน้องนาง |
| พี่จากไกลบัวน้องจักหมองเศร้า |
ยามอยู่เคล้าบัวน้องไม่หมองหมาง |
| โอ้บัวน้องพี่เชยไม่เคยจาง |
บัดนี้ร้างห่างบัวจักมัวมล |
| ถึง"บ้านบง"หลงมองให้หมองหม่น |
เห็นแต่ต้นยางใหญ่ใกล้ถนน |
| นุชอยู่ไหนพี่ใคร่ตั้งใจยล |
เห็นแต่คนอื่นมาน้องหามี |
| ถึง"สานตม"บ้านที่มีหมีดุ |
พี่เกิดมุมานะจะสู้หมี |
| หมีหรือเสือเมื่อมาทำราวีกล้าย่ำยี |
ขั้นเต็มที่จะต้องสู้ดูสักคราว |
| ถึง"ภูเหี้ย"เหี้ยใหญ่มีในป่า |
เขาเล่าว่าเหี้ยทรามนามอื้อฉาว |
| เข้าบ้านใครอัปรีย์มีเรื่องราว |
โบราณกล่าวน่ากลัวเหี้ยชั่วนัก |
| บางคนว่าเหี้ยดงลงกระเป๋า |
เขาถือเอาความซวยด้วยประจักษ์ |
| จึงเห็นเหี้ยชาติชั่วตัวเป็นยักษ์ |
ประณามหนักในทางข้างกาลี |
| คนชั่วช้าเขาด่าว่าไอ้เหี้ย |
ต้องเสื่อมเสียเกียรติ์มนุษย์สุดบัดสี |
| เกิดเป็นคนควรทำแต่กรรมดี |
อย่าอัปรีย์สร้างบาปหยาบระยำ |
| บัดนี้ภูเหี้ยดีมีชื่อใหม่ |
เมื่อใครได้ยินชมว่าคมขำ |
| "ภูสวรรค์"ไพเราะเสนาะคำ |
เพื่อลบสำเนียงร้ายให้หายไป |
| รถพ้นคูดูบ้านสถานที่ |
ริมวิถีเคหาคนอาศัย |
| เรียมชะแง้แลหายอดอาลัย |
น้ำตาไหลคลอตาเพ่งหานวล |
|

ไม้แดง : ชื่อไม้ต้นชนิด Xylia xylocarpa Taub. ในวงศ์ Leguminosae เนื้อไม้แข็ง สีแดง
|
| ถึงถิ่น"โพนป่าแดง"เป็นแหล่งบ้าน |
รัฐบาลบ่งจองของสงวน |
| เพราะไม้แดงเนื้อดีมีค่าควร |
ตามกระบวนมวลไม้ในวนา |
| อันแดงไม้ฤๅเทียบเปรียบแดงแก้ม |
ยิ่งแม่แย้มยิ่งแดงแข่งบุปผา |
| สวยธรรมชาติใช่แป้งมาแต่งทา |
กัลยานีคือเจ้าเยาวมาลย์ |
|

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมของแต่ละปี ไม้แดง จะเริ่มออกฝักเป็นรูปบูมเมอแรงสีน้ำตาล
|
| ถึง"บ้านม่วง"ม่วงไม้ยังไม่สุก |
เล็งแลรุกข์เรียงรายหลายสถาน |
| เขาปลูกไว้เป็นแถวริมแนวธาร |
ถ้านงคราญมาเห็นคงเย็นตา |
| พี่มาเดี่ยวเปลี่ยวใจชมไร้รส |
ไม่ใสสดเพราะขาดผู้ปรารถนา |
| พี่ขาดนุชดุจร่างร้างวิญญาณ์ |
ดังมัจฉาไร้น้ำจะดำมุด |
| ถึง"บ้านแพ"แพหามีมาไม่ |
พี่อยากได้แพดีกว้างที่สุด |
| ถ้าสมหวังจะกลับไปรับนุช |
ให้น้องรุดมาด้วยช่วยพี่พาย |
| ถึงถิ่นสุด"กุดป่อง"มองดูบ้าน |
มีโรงร้านวัดวาเรือนค้าขาย |
| ริมถนนสองแถวแนวเรียวราย |
ล้วนร้านหลายหลากหลังปลูกตั้งเรียง |
| ถ้าน้องมาหน้านวลคงชวนพี่ |
หยุดที่นี่โฉมยงจะส่งเสียง |
| เรียมรักเจ้าจักเข้าเร้าโลมเคียง |
ไม่หลีกเลี่ยงทรามวัยไม่ขัดคอ |
| ถึง"บ้านติ้ว"แลลิ่วเห็นทิวทุ่ง |
ไกลพ้นคุ้งเป็นเขื่อนเหมือนเรือนหอ |
| คิดวันเคยพร่ำพลอดออดพะนอ |
พี่ไม่รอเพราะรักสุดจักทน |
| ถึง"นาอาน"ลานมีเป็นที่กว้าง |
พื้นที่ว่างกว้างใหญ่เขตไพรสณฑ์ |
| มีสนามบินใหญ่อยู่ในพน |
เขต"ตำบลนาอาน"ย่านคีรี |
| เครื่องบินมีอยู่ไหนไยไม่แจ้ง |
หรือว่าแกล้งโผผินหลบบินหนี |
| วานไปตามงามสรรพมารับที |
ผู้ขับขี่อยู่ไหนไยเฉยเมย |
| "วังสะพุง"ยุ่งใจพุงไหนแน่ |
แม้นพุงแม่งามเลิศอย่าเปิดเผย |
| จงสงวนพุงไว้ให้ไกลเชย |
หากคนเคยเช่นพี่จึงคลี่คลาย |
| จากสะพุงมุ่งถีบรถรีบรุด |
ไม่ยั้งหยุดคลาไคลไปจุดหมาย |
| ทรหนทนไปไม่กลับกลาย |
ถีบรถฟายเหงื่อคลอจรรัล |
| พอลมตกนกเขาขันเคล้าคู่ |
จูหุกกรูกรุกกรูเคล้าคู่ขัน |
| โอ้เขาเจ้ามีคู่สมสู่กัน |
ส่วนเรียมนั้นไร้คู่อยู่คนเดียว |
| เห็นแซงแซวไซ้หางบนยางสูง |
เจ้าพลัดฝูงหรือจึงตลึงเหลียว |
| เราก็พลัดยอดหญิงมาจริงเจียว |
ต้องเปล่าเปลี่ยวฟูมฟกอกระทม |
| เห็นนกแก้วจับไผ่ไม่เริงร้อง |
แก้วเคยมองโลกรื่นไยขื่นขม |
| หรือพลัดคู่อยู่เดียวเปลี่ยวใจตรม |
แก้วระบมดังเรียมเท่าเทียมกัน |
| เห็นขุนทองมองคู่ชูคอร้อง |
เหมือนวันน้องสั่งพี่ขมีขมัน |
| โอ้ความรักชื่นบานยังหวานมัน |
มาเหหันห่างพี่ฤดีตรอม |
| ขุนคับแคแลนางคับแคกก |
เหมือนพี่ปกป้องนุชสุดถนอม |
| ถึงหน้าหนาวคราวจนพี่ทนยอม |
เอาแขนอ้อมโอบหนุนให้อุ่นไอ |
| ยินดุเหว่าเราร้องเพลงพร้องเพราะ |
น้องฉอเลาะพี่ฟังกังวาลใส |
| เฉกเช่นเสียงดุเหว่าเร้าโลมใจ |
พี่ฟังไปเคลิ้มบ้าคิดว่านวล |
|

นกโพระดก (Megalaima linerta ) ธรรมดาตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน ขนตามลำตัวมีสีเขียวสด หัวและอกสีน้ำตาลอ่อนและมีลายสีเหลืองเป็นขีด ปากสีเหลือง
|
| โพระดกผกผินบินคลอเพื่อน |
เหตุการณ์เหมือนพี่ถามทรามสงวน |
| สวรรค์เป็นของเราพี่เฝ้าชวน |
ในกระบวนกามกลจนบันเทิง |
| เรไรหริ่งจักรจั่นสนั่นแจ้ว |
ร้องกล่อมแนวพฤกษ์ไพรพาใจเหลิง |
| น้องมาฟังคงชื่นรื่นระเริง |
ไปในเชิงสุขฉ่ำชื่นสำราญ |
| ถึง"ศรีฐาน"บ้านชมพนมมาศ |
ธรรมชาติเพียบด้วยห้วยละหาน |
| พี่ลงรถบทพักจักรยาน |
เดินหาบ้านผู้ใหญ่ฝากไมตรี |
| ท่านต้อนรับขับสู้ดูสัตย์ซื่อ |
ยอมนับถือปองดองเป็นน้องพี่ |
| ถึงชาวไพรใจเยี่ยมเปี่ยมอารี |
สามัคคีดีล้ำเกิดกำลัง |
| พอรุ่งแจ้งแสงทองส่องสว่าง |
พี่ลุกล้างหน้าพิศสมจิตหวัง |
| เจ้าของบ้านเตือนใจให้ระวัง |
ว่าฉวยพลั้งตกภูดูน่าอาย |
| ได้เวลาคลาไคลไม่ประมาท |
ค่อยลีลาศก้าวหน้าหาจุดหมาย |
| เดินขึ้นเขาเปะปะไม่สะบาย |
เมื่อยเส้นสายแข้งขาอุตส่าห์เดิน |
| สองทางไปไม้ไหล้มีหลายหลาก |
ไผ่รวกมากดารดาษเกลื่อนกลาดเถิน |
| มียางยูงเต็งรังสะพรั่งเนิน |
แลเจริญรุกขาเชิงผาราย |
| ข้างทางจรหุบเหวเป็นเปลวปล่อง |
เห็นชั้นช่องซ้อนซับลึกลับหลาย |
| เสียงน้ำไหลจอกจอกฉอกกระจาย |
แลเลื่อมพรายพร่างพร้อยเพี้ยงพลอยแพรว |
| มาถึง"ซำตาแหก"นามแปลกโสตร |
พี่ปราโมทย์พอใจน้ำใสแจ๋ว |
| ดื่มน้ำอิ่มออกเดินเลาะเนินแนว |
ชมเทือกแถวศิงขรชะง่อนงาม |
| ศิลาลายหลากสีคีรีเลื่อม |
บ้างลดเหลื่อมแหลมตั้งดังปลายหนาม |
| ที่"บ้านปุ่ม"ตุ่มนิดก็ติดตาม |
ชะโงกง่ามหินอยู่คู่เคียงกัน |
| หกชั่วโมงสิ้นสุดถึงจุดยอด |
อากาศปลอดโปร่งเปรมเกษมสันต์ |
| เย็นสบายเหนื่อยร้ายเหือดหายพลัน |
มหัศจรรย์หนักหนาอากาสดี |
| พินิจรอบรอบสกนธ์สนสะพรั่ง |
รายเรียงตั้งตามแนวแถววิถี |
| เป็นระเบียบเรียบร้อยใหญ่น้อยมี |
ระยะที่รายเรียงเคียงเคียงไป |
| มีดอกไม้หลายหลากมากชนิด |
ล้วนโสภิศมาลีสีสดใส |
| ส่งกลิ่นหอมรวยรื่นซาบชื่นใจ |
พี่เด็ดได้ดอกหนึ่งค่อยพึงดม |
| คิดถึงน้องของชอบพี่มอบให้ |
เรื่องดอกไม้นั้นสวยสำรวยสม |
| น้องชอบใจขอบคุณการุณย์ชม |
จิตนิยมสมหญิงทุกสิ่งอัน |
| เดินมาหน่อยพบธารน้ำผ่านไหล |
ดูเย็นใสใคร่ลองสักสองขัน |
| เห็นปลาว่ายว่องไวรุดไล่กัน |
ที่ตามทันรีบกัดฟาดฟัดกิน |
| โอ้อนาถมัจฉานิจจาสัตว์ |
ตัวใหญ่กัดตัวน้อยลดลอยสินธุ์ |
| เห็นตัวอื่นแร่ใส่นิสสัยชิน |
กระโดดดิ้นดำไล่ไม่รีรอ |
| โอ้สัตว์โลกเบียดเบียฬกระเหี้ยนโหด |
มีเขลาโฉดเช่นนี้นะสิหนอ |
| มนุษย์ก็เช่นนี้ซิ! ใจคอ |
คอยหลอกล้อกินกันประจัญบาน |
| ผู้มีหลักศักดิ์ใหญ่ใส่ผู้น้อย |
ได้ท่าหน่อยจับเอาเข้าประหาร |
| โอ้มนุษย์ดุจกันใยจัณฑาล |
ใช้สันดานเดิมเก่าเข้าประจญ |
| มาพบพระประธานตระการสง่า |
อยู่กลางผากรำแดดแปดลมฝน |
| พี่นั่งลงน้อมประนตพระทศพล |
ขอให้พ้นภัยร้ายฝ่ายอธรรม |
| อันมนุษย์สามานย์อย่าพานพบ |
ขอประสบคนดีมีอุปถัมภ์ |
| เจริญพร้อมศีลสัตย์วัฒนธรรม |
คนบาปต่ำขอให้บรรลัยลาญ |
| ออกจากนั่นครรไลไปเบื้องหน้า |
เห็นสัตว์ป่าฝูงใหญ่ริมไพสาณฑ์ |
| มันเห็นพี่วิ่งหนีตะลีตะลาน |
คิดว่าพรานมายิงมันกริ่งกลัว |
| เจ้าสัตว์ป่าอย่าหนีมานี่ก่อน |
อย่าหลบซ่อนเราใช่พวกใจชั่ว |
| อาวุธนิดพิษใดไม่ติดตัว |
การเมามัวฆ่าเขาเราไม่เคย |
| เรามาเดี่ยวเที่ยวชมพนมมาศ |
รุกขชาติสัตว์ป่าบุปผาเผย |
| ภูกระดึงสวยสมลมรำเพย |
บานสเบยเพลิดเพลินเจริญใจ |
| คนใจร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิต |
มิได้คิดบาปกรรมทำไฉน |
| ยิงเขาม้วยชีวีดีหทัย |
ว่ายิ่งใหญ่ฝีมือเลื่องลือชา |
| หากยิงผิดเสียใจว่าไม่เก่ง |
ต้องแลเล็งยิงใหม่ด้วยใจบ้า |
| แม้นถูกต้องตรงที่เพิ่มปรีดา |
หัวเราะร่าดีใจไม่สังวร |
| เห็นศาลาสร้างไว้ไม่ไกลนัก |
หมายได้พักภิญโญสโมสร |
| พอมาถึงทราบที่มีคนนอน |
จึงย้อนกลับไปไม่รบกวน |
| หัวหน้าศาลอยุธยาท่านมาผ่อน |
แรมพักร้อนเดือนห้าอากาศผวน |
| พี่เดินเลยล่วงไปใจรัญจวน |
คิดถึงนวลขวัญใจไม่ได้มา |
| แม้นแม่มาจักชวนชมนิยมสน |
หลายหมื่นต้นแลพิลึกพันธุ์พฤกษา |
| มารุตโบกใบแรงแกว่งไปมา |
เสียงซ่าซ่าบรรเลงดั่งเพลงพราย |
| หอมผกากลมกลืนแสนชื่นจิต |
ดังสถิตแหล่งสวรรค์ชั้นเฉิดฉาย |
| ผกาก้านบานแบ่งแจงกระจาย |
สีสรรพรายเพริศพิศพิจิตรผจง |
| นี่ผาเผือกจอมไท้องค์ไกรลาศ |
หรือปราสาทบพิตรสถิตหงส์ |
| พี่แลชมเคลิ้มตื่นนั่งมึนงง |
ให้ลุ่มหลงผาทองเพียงต้องมนต์ |
| รู้อย่างนี้พี่จะพาน้องมาด้วย |
ยอมมอดม้วยอยู่กลางระหว่างสน |
| ยึดกระดึงเป็นหลักพำนักตน |
ให้ห่างพ้นคนมีที่เหยียดเรา |
| เห็นเอื้องไพรกล้วยไม้มีในผา |
สุดคณานับถ้วนล้วนอยู่เขา |
| บ้างชูช่อยื่นกิ่งงามพริ้งเพรา |
ภมรเคล้าบินคลึงหึ่งหึ่งไป |
| พวกเอื้องผึ้งผึ้งใชไซ้เกสร |
แล้วบินร่อนละทิ้งกิ่งยังไหว |
| พันธุ์ช้างเผือกขาวผ่องเป็นยองใย |
สมุนไพรครบครันสุดพรรณนา |
| พี่ชมเพลินเดินดูดำรูพฤกษ์ |
ค่อยรู้สึกผ่องใสใจหรรษา |
| แต่พักอยู่ภูงามสามทิวา |
จึงอำลาจากเมือเหลืออาลัย |
| ค่อยอยู่เถิดมาลาบุปผาหอม |
งามละม่อมช่อชูอยู่ไสว |
| ขอฝากดั่งไว้ดมให้สมใจ |
ยามจากไกลยังปลื้มไม่ลืมเลือน |
| ค่อยอยู่เถิด"สน" สวยด้วยสีสรร |
แดนสวรรค์นั่นจึงถึงจะเหมือน |
| เคยฟังลมโบกใบหัวใจเฟือน |
จะนับเดือนปีพรากจากไปนาน |
| ขอฝากโสตรไว้รับสดับเสียง |
ฟังสำเนียงครวญเพลงวังเวงหวาน |
| กลับถึงถิ่นจะยินใดได้เปรียบปาน |
คงรำคาญฟังอื่นไม่ชื่นกรรณ์ |
| ขอลาแล้วภูกระดึงตรึงมนต์ทิพย์ |
เสียงกระซิบแต่ล้วนส่วนสวรรค์ |
| น้ำกระเซ็นลมชวนป่วนใจครัน |
หฤหรรษ์ทรายซึ้งตราตรึงใจ |
| โอกาศดีปีหน้าจะมาเที่ยว |
ไม่ลดเลี้ยวลับร่างไปข้างไหน |
| ขอเทพเจ้าเขาเขตประเทศไพร |
คุ้มครองให้รักข้าสถาพร |
| แม้นหญิงใดสบข้าอย่าเว้นรัก |
ให้สมัครหมายปองดุจต้องศร |
| แห่งกามเทพศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์รอน |
จิตอาวรณ์ถึงข้าอย่าซาคลาย |
| อีกนัยหนึ่งให้เหมือนพระเพื่อนแพง |
ที่รักแรงในลอหน่อฤาสาย |
| ครวญสวาดิ์ดั่งนางจะคลั่งตาย |
เฝ้าฟูมฟายชลนาหาคู่เชย |
| รำพันแล้วแคล้วคลาดนิราศเขา |
คือลำเนาเคหานิจจาเอ๋ย |
| ตามทางมามั่นคงมิหลงเลย |
ถึงบ้านเคยเนานานสำราญใจ |
| แต่เดินทางไปกลับลับสถาน |
ยี่สิบวารขอแจ้งแถลงไข |
| ตามทางเดิมค่อยเดินดำเนินไพร |
ร่ำพิไรกลอนเล่นเป็นทำนอง |
| ข้าผู้แต่งนาม"ผจญ"คนบ้านป่า |
รู้ภาษาไทยน้อยไม่ค่อยคล่อง |
| เพราะเรียนน้อยรู้นิดคิดร้อยกรอง |
ย่อมบกพร่องใช้คำเป็นธรรมดา |
| แม้ผิดพลาดคลาดกลอนสุนทรสาส์น |
ตลอดกาลใช้ถ้อยร้อยภาษา |
| โปรดชี้แจงแต่งใส่ได้เมตตา |
ทวยเมธาอย่าเห็นเป็นอื่นเลย (จบ) |
| |
|