| |
นิราศลาสุดาจรนครสวรรค์ |
| วันศุกร์เช้าการวารจรัล |
พฤศจิกพรรษ์เก้าหกศกที่ไป |
| เกี่ยวด้วยกิจชิดชมงานสมรส |
ตามกำหนดบัตรแจ้งแถลงไข |
| นามนารีศรีวรรณอันอำไพ |
นพชัยนามบุรุษผ่องผุดพรรณ |
| ต่างเลือดครูผู้มีอารีศิษย์ |
จึงมิตรจิตมิตรใจเฝ้าใฝ่ฝัน |
| ต่างตกลงปลงจิตร่วมมิตรกัน |
ในเชิงชั้นสามีภรรยา |
| นามผู้แต่งแจ้งตนผจญลิขิต |
คุรุมิตรร่วมสถานการศึกษา |
| โดยภักดีมีจิตคิดเมตตา |
จึงไคลคลาร่วมการงานมงคล |
| คุณสวัสดิ์สัญญาให้มาพบ |
เก้าโมงครบพอดีมีเหตุผล |
| พี่มาล่าช้าหน่อยน้อยใจตน |
จึงขึ้นยนต์ต่างคันแยกกันจร |
| ถึงทุ่งนาอากาศพัดพาดเฉื่อย |
ลมโลมเอื่อยแสนจะสโมสร |
| โอ้"หล่มสัก"นัคเรศเขตนคร |
เคยพักนอนบ้านเกิดกำเหนิดเนา |
| จำใจพรากจากจร"นครสวรรค์" |
นิราศดั้นด้นผ่านย่านภูเขา |
| อันความจริงยิ่งคิดยิ่งจิตรเมา |
มิบรรเทาทุกข์มีทวีคูณ |
| ความเป็นห่วงดวงใจอาลัยรัก |
เรียมสุดจักหักใจให้หายศูนย์ |
| ยิ่งจากรักหนักใจความใคร่พูน |
พี่อาดูรเดือดดิ้นกินน้ำตา |
| ถึง"น้ำพุง"ยุ่งใจชวนให้นึก |
โลกเกิดศึกระหว่างต่างภาษา |
| เพราะพุงไส้ได้โหยโรยกายา |
จึงรบราช่วงสินชิงดินแดน |
| ถึง"น้ำก้อ"ท้อจิตเรียมคิดนุช |
น้องพิสุทธิ์โชติช่วงพี่หวงแหน |
| ก้อบนเขาเผ่าข้างอย่างชาวแมน |
ซื่อสัตย์แสนน่าชมนิยมปอง |
| แม้นนาฏพี่มีใจผ่องใสสุด |
นับเป็นจุดใจหญิงหยิ่งผยอง |
| รูปวิไลใจดีมีคนปอง |
คนจองหองใครไม่ผูกไมตรี |
| ถึง"น้ำชุน"อุ่นใจได้ทราบชื่อ |
น้องนั้นคือนางฟ้ามารศรี |
| สันทัดอย่างทางปักถักร้อยดี |
คราวผ้าพี่ขาดเจ้าเอาไปชุน |
| ยามพี่พรากจากมาเมื่อผ้าขาด |
น่าอนาถใครเล่าเขาจะหนุน |
| ใครเขาจะกรุณาเกื้อการุณ |
ใครจะจุนเจือเอื้อเมื่อยามจน |
| ถึงหนองม่วงห่วงหลังยังนุชพี่ |
ยามม่วงมีพี่สอยไม่น้อยผล |
| น้องปรุงน้ำจิ้มให้พี่ได้ยล |
เราสองคนร่วมกินแสนยินดี |
| ถึง"ดงขวาง"กลางป่าใครมาขวาง |
ผิดเยี่ยงอย่างแน่ชัดน่าบัดสี |
| น้ำเชี่ยวกว้างขวางเรือเชื่อภัยมี |
ถูกต้องดีโบราณท่านกล่าวเตือน |
| "ห้วยกนทา"หาเจ้าช่างเปล่าเปลี่ยว |
ใครชอบเปรี้ยวทาปากมากเหมาะเหมือน |
| ปากน้องแดงเองได้งามไม่เลือน |
ชนะเพื่อนที่แสร้งใช้แดงทา |
| ถึง"ร่องดู่"ดูร่องเห็นคลองคด |
ร่องปรากฎคดผ่านย่านหินผา |
| คนมีใจไม่คิดอวิชชา |
หลงตัณหามีจิตคิดลดลวง |
| "ถ้ำฤๅษี"มีทางสร้างลัดเข้า |
ถ้ำยอดเขามีเรื่องสร้างเมืองหลวง |
| ทรัพย์สินรัฐจัดย้ายหลายกระทรวง |
ทรัพย์ทั้งปวงของรัฐจัดเก็บรวม |
| เพื่อปลอดภัยในยามสงครามเกิด |
เราไม่เพลิดเพลินละคิดหละหลวม |
| ทั้งไม่คิดผิดธรรมให้กำกวม |
ไม่มัวต้วมเตี้ยมปละปล่อยละเลย |
| "บุ่งน้ำเต้า"เศร้าจิตคิดน้ำเต้า |
เห็นของเขาเต็มอกยกเปิดเผย |
| ขายข้าวหลามงามตาดูน่าเชย |
แต่พี่เคยดูของน้องต้องงามเกิน |
| จึงมิได้ใส่จิตพินิจแน่ |
เพียงแต่แลยามร้างเจ้าห่างเหิน |
| ปลอบอารมณ์ชมไปพอให้เพลิน |
นางร้องเชิญท้าทายทอดสายตา |
| ซื้อข้าวหลามปิ้งไก่ว่าให้วุ่น |
พอได้หนุนท้องหิวชื่นชิวหา |
| "บุ่งน้ำเต้า"เต้าน้องดั่งทองทา |
ประทุมมาพ่ายเต้าเยาวมาลย์ |
| เรียมร้างละสละมาน่าอนาถ |
ประทุมาศจักพลัดหัตถ์สมาน |
| คงหมองไหม้ใต้ผ้าภูษานาน |
ยามเบิกบานไร้ซึ่งผู้คลึงชม |
| ถึง"บุ่งคล้า"มาไกลรถไม่หยุด |
แล่นรีบรุดป่ายปีนขึ้นหินถม |
| พี่เพ่งหาหน้าน้องหมองระทม |
เห็นแต่ลมพัดไม้กิ่งไหวติง |
| ถึง"อมกง"ตรงนี้มีโรงบ่ม |
ดินอุดมน้ำมีดีทุกสิ่ง |
| เวอร์ยิเนียปลูกงามตามความจริง |
รัฐไม่นิ่งนอนใจให้ทุนทำ |
| ส่งผู้ที่มีภูมิมาคุมจัด |
ปฏิบัติงานได้ไม่ถลำ |
| ตั้งแหล่งหลักพักอยู่ดูประจำ |
การงานดำเนินไปได้อย่างดี |
| ถึง"ท่าพล"พลหาญชำนาญศึก |
หากตริตรึกยกมาคร่าสมศรี |
| พี่จะสู้กู้สิทธิ์พิชิตพลี |
แย่งนารีมิให้ผู้ใดเลย |
| ถึงเทวินทร์อินทร์พรหมบรมยักษ์ |
จะหาญหักแย่งเจ้าเอาเฉยเฉย |
| พี่ไม่ยอมพร้อมสู้ชิงคู่เชย |
พี่ไม่เคยทิ้งทอดยอดสุดา |
| ถึง"นางั่ว"ทั่วนี่ไม่มีเจ้า |
เห็นแต่เขาคนอื่นชื่นสุขา |
| นั่งในบ้านขานคำพร่ำพูดจา |
ทำทีท่าหยอกล้อพะนอกัน |
| คิดถึงเจ้าเห็นเขาเคล้าคู่ชื่น |
ส่วนเรียมกลืนทุกข์มารถพาผัน |
| สู้เบือนหน้าหาช่องมองอรัญ |
แสงตะวันส่องไม้ใบเลื่อมพราย |
| "หนองนารี"มีบัวทั่วสลอน |
เคยมาผ่อนพักชมสุขสมหมาย |
| บัวในหนองผ่องแผ้วแพร้วพรรณราย |
น้ำกระจายน่าชมยามลมโชย |
| คลื่นน้อยน้อยลอยแล่นเป็นแผ่นริ้ว |
ดุจธงปลิวโดนฝั่งดังหวนโหย |
| ยิ่งยามโศกโรคร้ายคล้ายเสียงโอย |
พี่แทบโปรยน้ำตาแสนอาดูร |
| แสงแดดส่องท้องหนองดังทองทาบ |
แวบวับวาบเรืองรองยามต้องสูริย์ |
| สีเขียวขาวพราวขำโรจน์จำรูญ |
สภาพพูนเพิ่มพิศวิจิตรา |
| น้องมาจะพาลงสรงสนาน |
ในท้องธารเล่นน้ำฉ่ำหรรษา |
| เก็บอุบลกลถันให้กัยา |
น้องคงร่าเริงใจได้บัวทอง |
| ถึง"เพชรบูรณ์"สุริย์เฉียงขึ้นเที่ยงฟ้า |
รถามาพักให้ได้ซื้อของ |
| ตลาดใหม่ใจตื้นพี่ยืนมอง |
หาพวกพ้องคือสวัสดิ์ที่พลัดกัน |
| ความเป็นห่วงใจอยู่ไม่สุข |
คอยยืนลุกตาจับกลับหลังหัน |
| สามสิบห้านาทีรถพี่จรัล |
พาด้นดั้นตามหว่างหนทางจร |
| ถึง"บ้านโตก"โศกสร้างไม่สร่างสิ้น |
ดวงแดดิ้นคำนึงถึงสมร |
| พี่นั่งคิดในรถแต่งบทกลอน |
ทั้งง่วงนอนนั่งเหม่อเผลอเผลอมา |
| ถึง"สามแยก" แปลกตาบ้านหนาแน่น |
รถไม่แล่นหยุดอยู่เชิงภูผา |
| พี่หิวข้าวก้าวไปเหลือบนัยนา |
แสวงหาอาหารรัปทานเพลิน |
| รถรับเพิ่มเติมขนคนโดยสาร |
แล้วจัดการบรรทุกไม่ฉุกเฉิน |
| พวกลิเกเล่มาหารถเดิน |
คนรถเชิญอ่อนหวานโดยสารไป |
| ตอนนี้ต้องนั่งคู้อยู่ในรถ |
แสนรันทดเมื่อยขาไม่ปราศรัย |
| เหมือนมัดหมูคู่งอระย่อใจ |
คนมักง่ายเลวจังหวังแต่รวย |
| ไม่คำนึงถึงผู้สู้โดยสาร |
ทรมานในรถหมดความสวย |
| ต้องกินฝุ่นกินผงนั่งงงงวย |
ทอดระทวยในรถแทบหมดแรง |
| ถึง"เขารัง"รถแล่นขึ้นแผ่นผา |
เลี้ยวไปมาทางดินและหินแข็ง |
| ดังข้อศอกกรอกเวียนวกเปลี่ยนแปลงบ |
ถ้าพลาดแพลงเงินงกต้องตกดอย |
| รถพี่คลานผ่านตลอดขึ้นยอดเขา |
ลมพัดเปล่ากล้วยไม้พี่ไคร่สอย |
| เอาไปฝากโฉมยงน้องคงคอย |
โหยละห้อยถึงเรียมเกรียมอุรา |
| เห็นทำเนียบจอมพลบนเขาสูง |
เห็นยางยูงจับร้องก้องภูผา |
| เต็งรังรายล้อมรอบขอบพนา |
ทำเนียบปรากฎเด่นเห็นตระการ |
| ถึงศาลาชมวิวมองทิวพฤกษ์ |
ดูพิลึกเขาใหญ่ไพรละหาน |
| เขาสลับซับซ้อนย้อนลำธาร |
ผ่าไพศาลแลเล่ห์ทะเลราย |
| ที่เห็นเหวเปลวปล่องเห็นร่องลึก |
เสียงคึกคึกลมไพรฟังใจหาย |
| เมฆลอยวนก้นเหวเป็นเปลวปราย |
ก้อนกระจายเรี่ยเขาลำเนาไพร |
| เสียงชะนีมี่อึงคะนึงโหย |
วะหวีดโหวยเย็นห้องก้องไศล |
| ฝูงลิงค่างวางวิ่งบนกิ่งไพร |
ระงมในราวป่าพนาวัน |
| รถแล่นโค้งวงวนบนไหล่เขา |
คดเคี้ยวเข้าซอกผาพนาสัณฑ์ |
| ถึง"ห้วยตูม"กลุ้มใจให้ตื้นตัน |
ตูมจอมขวัญเต่งขาวเป็นจาวงาม |
| พี่จากมาคราวนี้มีแต่เปลี่ยว |
ยามแลเหลียวราววนาน่าเกรงขาม |
| เห็นขุนเขาเลากาดังทาคราม |
รู้สึกคร้ามเกรงภัยในพงพี |
| ถึง"ชนแดน"แสนดีพี่เป็นห่วง |
โอ้เจ้าดวงนัยเนตรแม่เศรษฐี |
| พี่ลุ่มหลงพวงหาทุกนาที |
แต่หามีน้องมาพี่อาวรณ์ |
| จะชนใดไหนดูรู้ให้แน่ |
อย่าผันแปรเปลี่ยนใหม่ใจสมร |
| จงรักกันมั่นไว้ใจแน่นอน |
ถ้าแคลนคลอนหลายใจแล้วไม่ดี |
| แดนวิบากยากแค้นแสนสาหัส |
สารพัดทุเรศดังเขตผี |
| แม้นมีน้องครองคู่ชูชีวี |
แดนว่านี้จักเฟิ่องเป็นเมืองแมน |
| ถึง"ท่าข้าม"นามบ้านริมย่านป่า |
เห็นพฤกษาขึ้นอยู่ดังชูแขน |
| แลสล้างกลางไพรในดินแดน |
รัฐหวงแหนห้ามตัดจำกัดการ |
| ถึง"ดงขุย"ขุยไผ่ไก่กินขุย |
ไก่ป่าคุ้ยขุยมาเป็นอาหาร |
| มนุษย์บาปหยาบช้าชั่วสามานย์ |
ใช้ปืนผลาญพวกไก่ไม่เอ็นดู |
| ยิงเขาตายหมายตนเป็นคนเก่ง |
โลกเพ่งเล็งกำหนดน่าอดสู |
| มนุษย์เราขาวต่ำมีรำดู |
ยอดพธูจงระวังคอยสังวร |
| ถึง"เขาทราย"ทรายถมช่างสมชื่อ |
เขาบรรลือใหญ่ยิ่งว่าศิงขร |
| แต่ความใหญ่ในคนผลขจร |
สามรถรอนเขาใหญ่ได้ราบเตียน |
| หิมาลัยสูงใหญ่ยิ่งในหล้า |
มนุษย์กล้าปีนพ้นยืนบนเศียร |
| เป็นดังนี้ที่มนุษย์สุดพากเพียร |
ถ้าจะเรียนใจมนุษย์สุดหยั่งลอง |
| ถึง"ทับคล้อ"พอใจอยากไปทับ |
เพื่อปรุงปรับรื่นรมย์ประสมสอง |
| ถนอมแนบแอบหน้ามณฑาทอง |
กกตระกองเนื้อนิ่มให้อิ่มเอม |
| โอ้"ทับเหล็ก"เสกสรรกลั่นกรองสุข |
ปลดความทุกข์สร้างสะความเกษม |
| วิมานทองของเราเนาสุขเปรม |
ความสุขเต็มโลกมีอยู่ที่ใจ |
| ถึง"วังหลุม"กลุ้มใจอยู่ในหลุม |
วังปกคลุมหลุมพรางนางอยู่ไหน |
| มีนางฟ้าอยู่รังช่างเป็นใจ |
โฉมนางในยังแพ้แก่บังอร |
| อันโฉมเจ้าสาวสวรรค์สรรเสริญ |
ว่างามเกินระยับยิ่งอัปสร |
| เย้ยความงามอร่ามใดในอมร |
สามโลกต้อนรับว่าราชินี |
| "หนองพยอม"หอมกลิ่นผกากรุ่น |
พี่คิดครุ่นครวญหามารศรี |
| เหมือนกลิ่นเจ้าเคล้าเจิมเสริมมาลี |
กลิ่นราตรีฤๅเทียบเปรียบกลิ่นนาง |
| มองซ้ายเห็นเป็นสถานการศึกษา |
ริมมรรคาลานใหญ่ได้ถากถาง |
| สนามเตียนเลี่ยนโล่งโปร่งตอนกลาง |
เขาก่อสร้างอาคารตระหง่านงาม |
| เห็นโรงเรียนเปลี่ยนจิตคิดถึงเด็ก |
ที่วัยเล็กสนใจชอบไต่ถาม |
| พี่เป็นครูอุส่าห์พยายาม |
สะสมความชอบทางสร้างความดี |
| ลาป่วยไม่เกินกาลวารกำหนด |
ถูกตามกฏไม่พลาดคลาดวิถี |
| สอนเด็กได้เต็มร้อยน้อยฤๅมี |
แต่สองปีเงินเดือนมาเคลื่อนคลาย |
| ทั้งนี้เพราะหัวหน้ามันบ้าชั่ว |
เรื่องส่วนตัวเอากลบลบดีหาย |
| ใจอาฆาตมาดชั่วมั่วอบาย |
ไร้ธรรมฝ่ายผู้ใหญ่ใจอารี |
| มันเฉกเช่นคนพาลสันดานหยาบ |
สร้างแต่บาปหาเหตุดังเปรตผี |
| เรื่องเล็กน้อยคอยจดกดความดี |
สะแกขี้ถุลสกุลมัน |
| อยู่หล่มสักมักผันเที่ยวปันข้าว |
ออกเป็นข่าวโด่งดังฟังแล้วขัน |
| เสื่อผืนหนึ่งแลกข้าวชาวศิษย์นั้น |
ได้ครึ่งบั้นแลกได้กำไรบาน |
| กว่าพันถังกองไว้ใต้บ้านพัก |
หัวเราะคักดีใจได้ข้าวสาร |
| พอถูกย้ายขายส่งให้โรงงาน |
รับประทานเงินตราจนหน้าแดง |
| มันแกล้งข้าบ้าเหลือไอ้เชื้อต่ำ |
เวรจงทำมันดับชีพอับแสง |
| ให้มันถึงวิโยคโชคเปลี่ยนแปลง |
ตายไปแหล่งนรกตกโลกันต์ |
| ตัวมันนั้นเลวจริงยิ่งใครชั่ว |
แต่วางตัวเป็นเฉยไม่เคยฉัน |
| แต่ที่จริงมันทำระยำครัน |
ใครรู้ทันมันง้อขอปิดบัง |
| ร้ายหนักหนาอ้าโอ้โธ่มนุษย์ |
น้ำใจดุจสัตว์ป่าบ้าโอหัง |
| ดวงหน้าซื่อใจคดคิดอนิจจัง |
พึงระวังเหลี่ยมรู้อยู่ดูเบา |
| "ตะพานหิน"ถิ่นสุดรถหยุดพัก |
พี่ล้วงควักทรัพย์ออกนอกกระเป๋า |
| สิบห้าบาทจับจ่ายคนท้ายเอา |
พี่จึงเข้ามาหน้าสถานี |
| แลตลาดอนาถใจไฟไหม้เรียบ |
ดูเงียบเชียบผู้คนต้องร่นหนี |
| พระเพลิงผลาญร้านโรงโปร่งสิ้นดี |
สงสารพี่น้องไทยผู้ได้จน |
| คนจัญไรใจดำอำมหิต |
มีดวงจิตเลวจัดสัตว์หน้าขน |
| ไม่สมเพชเวทนาประชาชน |
ลืมชาติคนเหมือนกันบั่นเมตตา |
| รถไฟร้องว่องไวได้เข้าจอด |
พี่เหลียวทอดตาเล็งเฝ้าเร่งหา |
| รถสวัสดิ์ขัดอะไรจึงไม่มา |
จวนเวลารถล่องจะต้องไป |
| พอระฆัง-ดังชัดสวัสดิ์ถึง |
กระโดดตึงตีตั๋วไม่มัวไข |
| พอย่างเท้าก้าวเหยียบขั้นบันได |
รถก็ให้หวูดเตือนเคลื่อนที่เลย |
| "ดงตะขบ"สบแต่หน้านารีอื่น |
ไม่รวยรื่นเหมือนนุชสุดเฉลย |
| เธอยิ้มยวนชวนชมภิรมย์เชย |
ปากเอื้อนเอ่ยขายของร้องเสียงดี |
| นางแม่ค้าพาทีมีศิลปะ |
ย่อมชนะลูกค้ามีภาษี |
| ปากเป็นเอกเสกสรรกลั่นวจี |
จึงจะมีคนรักสมัครปอง |
| ส่วนน้องพี่ศรีหญิงพูดยิ่งเพราะ |
กล่าวเสนาะรื่นหูรู้สนอง |
| ไม่มากน้อยถ้อยคำถูกทำนอง |
ดังลิ้นทองชัดเจนเป็นมงคล |
| หญิงสองเสียงพูดจาดังกาแค้น |
มักขาดแคลนคู่ครองสองสถล |
| โบราณว่าอาภัพสับปะดน |
ต้องหมองหม่นร้างคู่ไม่อยู่เคียง |
| "บางมูลนาก"พรากมาพี่หว้าเหว่ |
ต้องห่างเหน้องนุชมาสุดเสียง |
| ฟังล้อรถบดรางต่างสำเนียง |
เพลงจำเรียงกล่อมหอแรกคลอเคลีย |
| "บางมูลนาก"นากมีอยู่ที่ไหน |
ถ่ายคูถไว้แล้วไปอยู่ไหนเสีย |
| เรียมห่างรักหนักคลั่งดังคนเพลีย |
สุดละเหี่ยใครถ่ายสายอารมณ์ |
| อันความจริงยิ่งคิดจิตยิ่งป่วน |
เป็นเรื่องล้วนทุกข์นับเข้าทับถม |
| ใจรันทดอดสูสู้ระทม |
ต้องตรอมตรมเพราะรักสลักมาน |
| ถึง"วังกร่าง"ห่างเหินมาเกินเขต |
ทรวงประเทศเต้นหนักบอกหลักฐาน |
| ใจคืนคิดชิดเจ้าเยาวมาลย์ |
กร่างถูกรานดังพี่ลี้รักมา |
| โอ้กร่างใหญ่ใบบังนกหวังพึ่ง |
ประดุจหนึ่งพี่มาดปรารถนา |
| หวังพึ่งน้องปองตอบมอบชีวา |
จะเมตตาพี่เพียงไรตามใจนวล |
| ใต้ต้นกร่างปางหลังยังตรึงจิต |
เกาสกิดดวงใจให้ผันผวน |
| ชมวิหคนกไพรใจรัญจวน |
น้องเคยชวนพี่ถามนามสัตว์ดง |
| เห็นนกเขาเคล้าคู่อยู่กริ่งกร่าง |
น้องดูพลางแล้วถามตามประสงค์ |
| เห็นนางนกกคู่อยู่ธำรง |
พี่ว่าหลงรักเจ้ากว่าเขาไพร |
| น้องควักค้อนย้อนคำสำออยออด |
เฝ้าพร่ำพลอดภิเปรยเฉลยไข |
| เป็นสำนวนข่วนเย้าเกาะเกาใจ |
พร่ำพิไรพริ้งเพราะเสนาะกรรณ |
| ถึง"ชุมแสง"แคลงใจไม่เห็นแสง |
แต่นามแจ้งแสงสีสุรีย์ฉัน |
| รวมแสงทองส่องฉายเพริศพรายพรรณ |
สีสวรรค์ผิวนวลชวนตะลึง |
| โอ้"ชุมแสง"แจ้งความโฉมงามบ้าง |
ว่าเราร้างเชยชิดแสนคิดถึง |
| จากแต่กายฝ่ายใจใฝ่คำนึง |
ครวญรำพึงฟูมฟกอกระทม |
| "คลองปลากด"อดมาพบปลากด |
อยากลองซดแกงปลาให้สาสม |
| น้องเคยแกงแปลงปลอมได้กล่อมกลม |
พี่เชยชมฝีมือน้องลือชา |
| ยอดนารีมีเล่ห์เสน่ห์จวัก |
สามีรักไม่อิ่มชิมหรรษา |
| น้องก็มิ่งหญิงดีมีราคา |
เชี่ยววิชาแม่บ้านชำนาญจริง |
| หญิงรุ่นใหม่ไม่ชอบกอบการบ้าน |
เรื่องอาหารต้มหุงไม่สุงสิง |
| ชอบปากแดงแต่งตัวยั่วสะวิง |
ส่วนกิจหญิงนั้นสิไม่อินัง |
| น้องลองเตือนเพื่อนเพศในเหตุนี้ |
เพื่อศักดิ์ศรีหญิงสมนิยมหวัง |
| เป็นตัวอย่างนางแบบแยบคายจัง |
ในโลกสังวรไว้ในเหตุการณ์ |
| ถึง"ทับกฤช"กฤชทรงองค์อิเหนา |
อาวุธเจ้าระเด่นเพ็ญกล้าหาญ |
| ยอดนักรักนักรบอบโอฬาร |
ทรมานเสน่ห์นุชบุษบา |
| ต้องแรมไพรให้หวลครวญสวาดิ์ |
แรมนิราศรุดออกนอกดาหา |
| ท่องห้วยเขาเข้าดงหลงพนา |
มอบชีวาอุทิศไม่คิดกลัว |
| ดังตัวพี่ที่รักสมัครนุช |
แน่ที่สุดสมบูรณ์ยกทูลหัว |
| รักพิสุทธิ์ผุดผ่องมิหมองมัว |
ห่อนไหลรั่วล้นทิ้งให้หญิงใด |
| "ปากน้ำโพ"โผล่ทางหน้าต่างรถ |
มีกำหนดรถทอดจอดอาศัย |
| พวกเรือจ้างย่างมาชวนคลาไคล |
ต้อนวอนให้ลงเรือใจเหลือดี |
| ว่าคิดค่าโดยสารไม่ผ่านพลาด |
คนสองบาทเชิญจรัลขมันขมี |
| คนแจวท้ายส่ายหน้าช่างพาที |
คนหัวตีกรรเชียงเรือเลี่ยงมา |
| จากที่ลงตรงมาถึงท่าจอด |
โดยตลอดไกลโขกิโลกว่า |
| เรือแล่นลัดตัดเข้าเจ้าพระยา |
จะชมปลาไม่เห็นเป็นกลางคืน |
| เห็นเรือแพแลหลากสองฝากฝั่ง |
แสงไฟยังแจ่มชัดไม่ขัดขืน |
| เรียมนั่งในนาวาไม่กล้ายืน |
เรือฝ่าคลื่นน้อยน้อยค่อยแล่นจร |
| เรือนับร้อยคอยขนคนโดยสาร |
ไม่พลุกพล่านจอดรับสลับสลอน |
| เขาเพลินนับเพลินเงินหาไม่อาทร |
บ่เดือดร้อนเงินได้ไม่เว้นวัน |
| เรือถึงท่าน่าตึกไม่ดึกนัก |
คนคึกคักเรียงรายรีบผายผัน |
| จากนาวามาบนถนนพลัน |
สามล้อหันหน้ามาเชิญคลาไคล |
| ไปไหนครับรับได้ผมไปส่ง |
คุณประสงค์เดินทางไปข้างไหน |
| บ้านหมอม้วนด่วนมารีบพาไป |
อ้ออยู่ใกล้เขากบผมจบเจน |
| ขึ้นสามล้อขอให้พาไปส่ง |
ให้ค่าคงสองแผ่นพาแล่นเผ่น |
| ชมบ้านช่องสองฟากตากลมเย็น |
ปลูกตามเส้นสองแถวแนวทางเดิน |
| รถถึงบ้านท่านหมอพอสามทุ่ม |
พี่เดินดุ่มเข้าไปไม่เก้อเขิน |
| ท่าต้อนรับขับสู้ดูเจริญ |
พูดเชื้อเชิญชวนให้ไปบนเรือน |
| คุณศรีวรรณนั้นยิ้มกริ่มมารับ |
แนะนำกับคุณแม่แลร่างเหมือน |
| ท่านพูดจาปราศรัยจำไม่เลือน |
ยังตราเตือนตรึงจิตมิตรสัมพันธ์ |
| เชิญอาบน้ำชำระสระผมเผ้า |
ยกขวดเหล้าข้าวปลามาให้ฉัน |
| พี่หิวจังนั่งทานช่างหวานมัน |
ร่วมวงกันห้าคนสนทนา |
| ดวดแม่โขงโยงให้รับได้มาก |
ลืมเหนื่อยยากทั่วกันชื่นหรรษา |
| เมื่อยามจุ่ยคุยดังฟังเฮฮา |
ฤทธิ์สุราพาให้พูดได้ดี |
| วันรุ่งขึ้นเริ่มมีพิธีใหญ่ |
แขกเหรื่อไปพร้อมพรักเป็นสักขี |
| นิมนต์องค์สงฆ์มาหลั่งวารี |
ประเพณีไทยมาแต่ช้านาน |
| เสร็จเรื่องพระคณะชาติญาติพี่น้อง |
ทั้งพวกพ้องสนิทมิตรสมาน |
| ต่างรดน้ำพร่ำพรตอนสำราญ |
บ่าวสาวกรานกราบนั่งบนตั่งงาม |
| คราตักบาตรญาติมิตรที่ชิดเชื้อ |
ทั้งแขกเหรื่อมารวมร่วมล้นหลาม |
| สาวบ่าวตักภักษ์มิตรเดินติดตาม |
ไม่ขั้นข้ามเดินเรียงเคียงเคียงกัน |
| ตักบาตรแล้วสาวบ่าวนำคาวหวาน |
ประเคนท่านหลวงพ่อขอให้ฉัน |
| เสียงยถาสัพพีพระมี่นันต์ |
ก็เสร็จชั้นเรื่องพระดีกระไร |
| ตอนกลางวันมั่นคงส่งเจ้าบ่าว |
มาบ้านสาวไม่เคลื่อนตามเงื่อนไข |
| เงินสินสอดทองหมั้นขันหมากไป |
พวกผู้ใหญ่เฒ่าแก่แหนแห่มา |
| ถึงบ้านสาวก้างตรงลงจากรถ |
พวกบ่าวบทจรตรูสู่เคหา |
| ถึงบันไดบ่าวขึ้นยืนศิลา |
ล้างบาทาขึ้นเรือนมีเพื่อนตาม |
| เข้าสู่ห้องหอรักพรักพร้อม |
ญาติมิตรล้อมปะปนอยู่ล้นหลาม |
| พวกเฒ่าแก่แก้ทรัพย์ออกนับนาม |
ครบถ้วนถามถูกดีที่ตกลง |
| ปวงเฒ่าแก่แซ่กรอผูกข้อแขน |
ตามแบบแผนเก่าก่อนบ่ห่อนหลง |
| บ่าวเข้าที่ศรีสวรรค์อันผจง |
ถูกต้องตรงสำเร็จเสร็จพิธี |
| ถึงตอนเย็นเป็นงานการกินเลี้ยง |
บ่าวสาวเพรียงพร้อมหน้ามานั่งที่ |
| แขกมีเกียรติ์หลายหลากมามากมี |
เพื่อเป็นศรีสาวบ่าวคราววิวาห์ |
| แม่โขงตั้งสะพรั่งโก้โซดาด้วย |
มีคนช่วยเปิดให้ได้สุขา |
| ต่างเปิดขวดดวดถามตามศรัทธา |
แขกที่มานับร้อยไม่น้อยเลย |
| พอดื่มเหล้าเข้าปากความยากหาย |
ต่างขยายตนเลิศออกเปิดเผย |
| พี่นั่งอยู่คู่หนุ่มกลุ่มคุ้นเคย |
มิได้เอ่ยอวดดีออกชี้แจง |
| เพื่อนเจ้าสาวเข้าคู่ดูจรัส |
นามถนัดท่าเต็มจะเข้มแข็ง |
| พี่กล่าวถามนามเธอเสนอแสดง |
ถ้อยแถลงน้อยน้อยไม่ค่อยดัง |
| เจ้าภาพเกริ่นเชิญให้ผู้ใหญ่กล่าว |
อวยพรบ่าวสาวสมนิยมหวัง |
| เจ้าบ่าวตอบขอบบุญคุณแขกฟัง |
ไม่พลาดพลั้งจบเพลงเปล่งไชโย |
| ครบสามครั้งนั่งที่พิธีเสร็จ |
แขกระเห็จลาไหว้ไม่ยะโส |
| คุณสุพัฒน์จัดมากปากน้ำโพ |
ท่านอยู่โอ้โลมให้ไปเที่ยวกัน |
| เรียมสวัสดิ์ไม่ขัดศรัทธาท่าน |
บริการท่านดีมีเลือกสรร |
| พาไปบ้านฐานควรสวนอาบจันทร์ |
นางงามนั้นเลือกได้ไม่อั้นเลย |
| เที่ยวไปสิบกว่าแห่งแหล่งผีเสื้อ |
ตลาดเหนือใต้ไปไม่เปิดเผย |
| ตามธรรมเนียมบุรุษสุดพิเปรย |
ชมสเบยเชยสบายหายร้อนรน |
| คุณสุพัฒน์คุณทวีที่เจนจัด |
พาเลาะลัดเข้าไหนก็ได้ผล |
| คุณสวัสดิ์ธรรมแตกแปลกใจตน |
จะอดทนต่อไปให้รำคาญ |
| ร่วมบ่ายหนึ่งจึงลามาที่พัก |
อันความรักด้วยจิตคิดสงสาร |
| ย่อมจรรโลงโลกไว้ให้สำราญ |
นี่แลด้านสามัคคีปราณีธรรม |
| ขอขอบคุณทุกท่านสมานมิตร |
ที่มีจิตเอื้อชุบอุปถัมภ์ |
| ให้เพลิดเพลินเจริญใจได้ฟ้อนรำ |
จะจดจำพระคุณไว้ไม่ลืมเลือน |
| พอรุ่งเช้าตื่นมาลาเจ้าบ้าน |
กลับถิ่นฐานพอใจอะไรเหมือน |
| ตามทางมาคลาไคลไม่ฟั่นเฟือน |
แต่จากเรือนสองราตรีดังปีปลาย |
| ยามยากจนผลได้ไม่สนอง |
จึงร้อยกรองกลอนประโลมเจ้าโฉมฉาย |
| ขอฝากน้องลองอ่านสาส์นบรรยาย |
ตามสบายอารมณ์ชื่นชมเอย (จบ) |
| |
|