EBONY Thai Name Tako Naa
ต้นตะโก (EBONY) หรือต้นโก
Diopyros rhodocalyx Kurz
EBENACEAE
EBONY
Tree, 8 -15 m high, leaf simple, alternate, obovate or elliptic, 2.5 - 7 cm. wide, 3 - 12 cm long
Flower unisexual,monoecious. Male flowers cymose; corolla as in male flowers but larger. Fruit globose berry with persistent calyx.
ตะโกนา Thai name Tako Naa ชื่อสามัญ Ebony
ต้นตะโกนา เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางประเภทใบเดี่ยวที่อยู่ในวงศ์ EBENACEAE โดยมีชื่อสามัญว่า Ebony ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์นั้นก็คือ Diospyios rhodcalyx.
ตะโกนา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะถ่านไฟผี (เชียงใหม่), นมงัว(นครราชสีมา), ตะโก มะโก พญาช้างดำ พระยาช้างดำ (ภาคเหนือ), โก (ภาคอีสาน), ตองโก (เขมร) เป็นต้น
ในพจนานุกรมไทย ฉบับ 15 เมษายน พ.ศ. 2518 ของนายจำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิตสภา หน้า 224 ได้บัญญัติไว้ว่า ตะโก คือชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ต้นดำ ผลคล้ายมะพลับ (ผลมะพลับมีรสฝาดเจือหวาน)
ใน นิราศ ภาคอิสาน ของอาจารย์ ผจญ อนรรฆธีรพันธุ์ ได้บรรยายคำว่า ต้นตะโก หรือต้นโก ไว้ได้อย่างไพเราะว่า
บ้านตะโกโกมีอยู่กี่ต้น พี่เพ่งค้นโกหาร่มอาศัย
ปางก่อนเคยมานั่งบังโกไพร สุขกระไรรื่นรมชมผลโก
พี่เคยสอยโกทองให้น้องเล่น น้องว่าเด่นน่ารักงามอักโข
ผลเกลี้ยงกลมสมใจไม่ใหญ่โต น้องว่าโธ่สวยนักน่ารักจริง
ลักษณะของตะโกนา
ต้นตะโกนา เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางประเภทใบเดี่ยวที่อยู่ในวงศ์ EBENACEAE โดยมีชื่อสามัญว่า Ebony ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์นั้นก็คือ Diospyios rhodcalyx.
ต้นตะโกนา นั้นเป็นต้นไม้ที่มักจะนิยมนำไปทำเป็นไม้ดัดกันมาก เนื่องจากต้นตะโกนามีกิ่งก้านที่อ่อนพอต่อการนำไปทำไม้ดัด
ต้นตะโกนา นั้นนอกจากจะนิยมทำเป็นไม้ดัดกันแล้ว มันยังเป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าทางสมุนไพรและผลที่สุกของมันก็ยังสามารถกินได้อีกด้วย
ต้นตะโกนา จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก รูปทรงพุ่ม มีความสูงของต้นประมาณ 8-15 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีดำ แตกเป็นร่องลึกเป็นสะเก็ดหนา ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด (ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักเนื่องจากเติบโตได้ช้า) การตอนกิ่ง หรือการขุดล้อมเอามาจากธรรมชาติ เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการแสงแดดแบบเต็มวัน มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี โดยพบว่ามีเขตการกระจายพันธุ์จากพม่าจนถึงภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นได้ทุกภาคตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะ และตามทุ่งนา ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 40-300 เมตร
ใบของต้นตะโกนา เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรีค่อนข้างกลม รูปไข่กลับ หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนกลาย ๆ และรูปป้อม ปลายใบมนมีติ่งสั้นหรือมีรอยหยักเว้าเข้าเล็กน้อย โคนใบเป็นรูปลิ่มหรือป้าน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3-12 เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างหนาและเหนียว หลังใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน มีเส้นแขนงของใบประมาณ 5-8 คู่ เส้นอ่อนคดไปมามองเห็นได้ทางด้านหลังใบและขึ้นเด่นชัดทางด้านท้องใบ เส้นร่างแหพอสังเกตเห็นได้ทั้งสองด้าน ส่วนเส้นกลางใบออกเป็นสีแดงเรื่อ ๆ และก้านใบสั้นยาวประมาณ 2-7 มิลลิเมตร
ดอกต้นตะโกนา ออกดอกเป็นช่อ ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้จะออกเป็นช่อเล็ก ๆ ตามกิ่งหรือตามง่ามใบ ในช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยประมาณ 3 ดอก ดอกมีกลีบดอก 4 กลีบ มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ก้านดอกยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร มีขนนุ่ม โดยกลีบดอกจะยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร เชื่อมติดกันเป็นรูปเหยือกน้ำหรือรูปป้อง ๆ ปลายแยกออกเป็นแฉกเล็ก ๆ เกลี้ยงเกลาทั้งสองด้าน ส่วนกลีบรองดอกยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยปากกว้าง ด้านนอกมีขนนุ่ม ส่วนด้านในมีขนยาว ๆ แน่น ดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 14-16 ก้าน มีขนแข็ง ๆ แซม รังไข่เทียมมีขนแน่น ส่วนดอกเพศเมียจะออกตามซอกใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกจะเหมือนกับดอกเพศผู้แต่มีขนาดใหญ่กว่า ก้านดอกยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร รังไข่มีลักษณะป้อม มีขนเป็นเส้นไหมคลุม ภายในแบ่งเป็นช่อง 4 ช่อง ในแต่ละช่องจะมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย ส่วนหลอดท่อรังไข่มีหลอดเดียวและมีขนแน่น ปลายหลอดแยกเป็นแฉก 2 แฉก มีเกสรเพศผู้เทียมประมาณ 8-10 ก้าน มีขนแข็ง ๆ แซมอยู่ โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน
ผลของต้นตะโกนา ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.2-2.4 เซนติเมตร (บ้างว่าประมาณ 3 เซนติเมตร) ผิวผลเรียบ ผลอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงคลุมอยู่หนาแน่น ซึ่งขนเหล่านี้มักหลุดร่วงได้ง่าย ส่วนปลายผลและโคนผลมักบุ๋ม กลีบจุกผลชี้ออกหรือแนบลู่ไปตามผิวของผล ข้างในมีขนสีน้ำตาลแดงและมีขนนุ่มทางด้านนอกพื้นกลีบและขอบกลีบมักเป็นคลื่น เส้นสายกลีบพอเห็นได้ชัด ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือแดงปนส้ม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่รีหรือแบน เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อหุ้มสีขาวและฉ่ำน้ำ มีขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านผลสั้นมาก มีความยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน
สรรพคุณของตะโกนา
- เปลือกต้นหรือแก่นใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีอายุยืนยาว ตำรายาไทยจะใช้เปลือกต้นตะโกนา เถาบอระเพ็ด ผสมกับเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง และหัวแห้วหมู อย่างละเท่ากันนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือดองกับเหล้าดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ
- แก่นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย
- เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย
- ช่วยทำให้เจริญอาหาร (เปลือก)
- แก่นและเปลือกใช้เข้ายารักษามะเร็ง
- ผลนำมาตากแดด ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กษัย บ้างว่าใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ราก ช่วยแก้โรคผอมแห้งหลังการคลอดบุตรเนื่องมาจากอยู่ไฟไม่ได้
- ใช้ผล ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ ใช้ผลแก้อาเจียนเป็นโลหิต
- ต้นใช้เป็นยาแก้ไข้
- ราก ต้น และแก่นเป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ จากการกินของแสลงที่เป็นพิษ
- ใช้ต้น ช่วยแก้พิษผิดสำแดง
- เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยแก้อาการร้อนในได้ บ้างว่าใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม
- เปลือกต้นหรือแก่นนำมาต้มกับเกลือใช้อมรักษาโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ (โรคที่มีอาการอักเสบของอวัยวะรอบ ๆ ฟัน)
- เปลือกต้นหรือแก่นนำมาต้มกับเกลือใช้อมแก้อาการปวดฟัน
- ผลมีรสฝาดหวาน ช่วยแก้อาการมวนท้อง
- ผลเอามาตากแดด ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย ส่วนเปลือกผลใช้แก้อาการท้องร่วง แก้บิดบวมเป่ง
- ช่วยขับน้ำย่อย ช่วยในการย่อยอาหาร
- ใช้เป็นยาแก้พยาธิ ขับพยาธิ (ใช้ผลต้มกับน้ำดื่ม)
- เปลือกต้น หรือแก่นนำมาเผาจนเป็นถ่าน ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ
- แก่นหรือเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บำรุงความกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรง
- เปลือกผลนำมาเผาจนเป็นถ่าน ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับระดูขาวของสตรี ส่วนเปลือกต้นหรือแก่นก็ขับมุตกิดระดูขาวได้ด้วยเช่นกัน ( บ้างว่าผลก็เป็นยาขับระดูขาวเช่นกัน
- ผลช่วยแก้อาการปวดมดลูก
- ผลแก้ตกเลือด
- รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไตพิการ น้ำเหลืองเสีย
- ผลใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง
- ต้นช่วยแก้ผื่นคัน ผลช่วยแก้ตุ่มคันเป็นเม็ดผื่นคันตามตัว
- ผลใช้เป็นยาเย็นถอนพิษ
- ผลใช้เป็นยาแก้แผล สมานแผล ช่วยแก้แผลเน่าเปื่อย ฝีเน่าเปื่อย ช่วยปิดธาตุ
- ช่วยแก้บวม ฝีบวม
- รากตะโกนาใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้โรคเหน็บชา อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย ส่วนตำรับยาพื้นบ้านของอีสานนั้นจะใช้รากตะโกผสมกับรากมะเฟืองเปรี้ยว รากเครือปลาสงแดง และรากตีนนก นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย
- รากและต้นช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตะโกนา
- สารสำคัญของตะโกนา ได้แก่ Betulin, Betulinic acid, B-sitosterol, Lupenone, Lupeol, Stigmast-4-en-3-one, Stigmast4-en-3-one 1 –O-ethyl-B-D-glucopyrahoside, Stigmast-4-en-3-one 1-O-ethyl-B-D-glucoside, Stigmasterol, Taraxerol, Taraxerol acetate, และ Taraxerone.
- ตะโกนามีฤทธิ์กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ โดยออกฤทธิ์เหมือนฮิสตามีน ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase
ประโยชน์ของตะโกนา
- ผลสุกของตะโกนาสามารถใช้รับประทานได้ โดยจะมีรสหวานฝาด บ้างว่านำผลมารับประทานโดยนำมาทำเหมือนกับส้มตำ โดยคุณค่าทางโภชนาการของผลตะโกนาต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 99 แคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 24.5 กรัม, น้ำ 73.6 กรัม, เส้นใย 1.5 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินบี 2 1.37 มิลลิกรัม, วิตามินซี 79 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 19 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม และธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
- ต้นตะโกจะออกผลดกทุกปี จึงเป็นอาหารให้แก่สัตว์ได้จำนวนมาก
- ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้า แห อวน มาตั้งแต่โบราณ โดยสีที่ได้คือสีน้ำตาล แต่คุณภาพจะไม่ดีมากนัก เพราะสีของเส้นไหมจะตกและไม่ทนทานต่อแสง และคุณภาพที่ได้จะไม่ดีเท่ากับมะพลับ โดยยางของลูกตะโกที่นำมาละลายน้ำใช้สำหรับการย้อมแหและอวนนั้น จะมีราคาถูกกว่ายางมะพลับ จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางของผลตะโกมาปลอมขายเป็นยางมะพลับ จึงเกิดคำพังเพยที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก”
- เนื้อไม้เป็นสีขาวหรือออกสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็งแรง มีความเหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตร เช่น ทำเสา รอด ตง คาน ฯลฯ
- ต้นตะโกเป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมปลูกเพื่อใช้นำมาทำไม้ดัดมากที่สุด ใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวนหรือสนามหญ้า เพราะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ง่ายต่อการเพาะเลี้ยงและบำรุงรักษา
- เนื่องจากต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน และทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี เชื่อว่าเป็นไม้มงคล หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีความอดทนเหมือนต้นตะโก
ที่สำคัญตะโกนานับว่าเป็นสุดยอดของยาบำรุงสุขภาพต้นหนึ่ง โดยเฉพาะท่านสุภาพบุรุษ เมื่อนึกภาพที่เห็นลุงแก่ ๆ ที่มาถากเอาเปลือกต้นตะโกไปต้มกิน เมื่อโตขึ้นก็ถึงบางอ้อ รู้นะว่าเอาไปต้มกินเพื่ออะไร เพราะน้ำต้มเปลือกและเนื้อไม้ตะโก มี สรรพคุณแก้โรคกามตายด้าน กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรง บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ นั่นเอง
ในตำรายาพิเศษ ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมวงศ์เธอกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ได้เขียนตำรายาเป็นคำกลอนไว้ว่า
นิทานหนึ่งนั้น เขาพูดเล่ากัน ณ ราชวังใน แสดงคุณยา นำมาแถลงไข ว่าผู้หนึ่งได้เป็นเช่นนี้มา มิได้ไข้เจ็บ อยู่กับภรรยา อาการกริยา กลายเป็นพระไป อยู่กับเมียนั้น เหมือนพี่น้องกัน ดังนี้เป็นได้ หลายปีเดือนนาน รำคาญเหลือใจ ตอมจิตคิดไป เคืองคับอุรา นึกจักไปบวช เสียดายภรรยา หวนไปหวนมา โกรธแค้นร่างกาย ไม่ได้ดังจิตร จำนงนึกหมาย กำลังเสื่อมหาย เดือดร้อนเสียใจ วันหนึ่งเพื่อนเกลอ มาเยี่ยมแต่ไกล พูดจาปราไสย ถามถึงร่างกาย ว่าเกลอเป็นไร ดูไม่สบาย เจ้าขุนมูลนาย เบียดเบียนบีฑา หรือเจ็บป่วยไข้ ร่างกายกายา คล้ำดำผิดตา สุขทุกข์อย่างไร
เพื่อนก็บอกอาการให้ฟัง เมื่อรู้อาการ เพื่อนเกลอที่มาแต่แดนไกลก็บอกตำรายารักษาว่า
"..... เพื่อนเกลอได้ฟัง อาไศรยกำลัง กรุณาอย่าตาม บอกยาแล้วว่า เจ้าอย่าเข็ดขาม กินสองสามชาม จักหายโรคภัย กำลังกายา จักมาโตใหญ่ ต้มกินให้ได้ เปลือกพญาช้างดำ กำหนดจำไว้ จงได้หาทำ ยานี้ดีล้ำ เขาเรียกตะโกนา ฯ"
".......ครั้นเกลอไปแล้ว ชายนั้นแสวงหา ได้เปลือกตะโกนา ต้มกินรินไป หายโรคกำลัง มากมายเจริญใหญ่ ยิ่งกว่าเก่าไป เป็นสุขสำราญ ฯ"