เรียมมาเดี่ยวเปลี่ยวใจในดงดอน
|
ทรวงสะท้อนพร้อมสำเนียงเสียงชะนี
|
ถึง"คลองคู้"เหลือบมองเห็นคลองคด
|
น้ำปรากฏในคลองเป็นสองสี
|
น้ำสักใสน้ำคลองพ้องกากี
|
น้ำเพียงนี้ใจมนุษย์จึงสุดเวียน
|
ถึง"แก่งกวด"น้ำเชี่ยวไหลเลี้ยวเร่ง
|
นายท้ายเพ่งทางมั่นมิหันเหียน
|
เรือแล่นจำเพาะหลีกเกาะเกียน
|
ถึงที่เตียนน้ำเชี่ยวเรือเลี้ยวมา
|
ถึง"ปากบู่"ปู่เจ้าเขาสถิตย์
|
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนภูผา
|
จงเอ็นดูข้าด้วยช่วยเมตตา
|
โปรดรักษาน้องข้าฯยามราตรี
|
ถึง"เพ็ชรบูรณ์"สูรย์ดับอับแสงสิ้น
|
ลมโลมกลิ่นกล้วยไม้จากไพรสี
|
หอมระรื่นชื่นชมสมฤดี
|
ความโศกที่สุดนั้นค่อยบรรเทา
|
นายท้ายทอดจอดเรือเหนือหมู่บ้าน
|
เพราะต้องการของแท้ช่วยแก้เหงา
|
หาสิ่งแปรแก้เหมื่อยให้เหนื่อยเบา
|
ใช้น้ำเมาดับกลุ้มที่สุมทรวง
|
พอเช้าตรู่รู้สึกปรึกษาท้าย
|
ให้เคลื่อนย้ายเรือล่องตามคลองหลวง
|
เลยปากน้ำช้ำใจถ้าใครลวง
|
ให้ลงห้วงนรกตกอบาย
|
ถึง"ชอนไพร"ใจหายเสียดายรัก
|
ยากจะหักจิตคนึงถึงโฉมฉาย
|
จากน้องไกลใจระเหี่ยแสนเสียดาย
|
ชะตาร้ายจากรักหล่มสักจร
|
ยามอยู่เหย้าพี่เคยพาพงาเที่ยว
|
เคยกล่าวเกี้ยวหยอกล้อขอสมร
|
ให้น้องเลิกท่าทีที่แง่งอน
|
น้องพูดย้อนคำไขว่าไม่ยอม
|
ถึง"คลองแขม"เห็นคาริมป่าสัก
|
ข้างยางหักคู่สมมะยมหอม
|
ต้นกร่างใหญ่เคียงระคนปนพะยอม
|
มะขามป้อมขึ้นอยู่คู่ต้นตาล
|
ถึงวัวโทนทินกรผ่อนแรงร้อน
|
แสงแดดอ่อนผ่อนเบาเพลิงเผาผลาญ
|
ส่วนใจพี่ร้อนไหม้กว่าไฟกาลป์
|
ไม่ลดรานรัญจวนถึงนวลจันทร์
|
เรือล่องเรื่อยตามลำน้ำคดคุ้ง
|
คนหัวพุ่งถ่อแทงอย่างแข็งขัน
|
กลัวเรือชนหินแตกน้ำแดกดัน
|
ต้องช่วยกันเต็มกำลังระวังระไว
|
ถึงตะเบาะเหมาะเมื่อคราวเรือหยุด
|
พี่พรากนุชแรมลำแม่น้ำไหล
|
ใช้เรือน้อยลอยร้างห่างรักไกล
|
บุกพงไพรไกลบ้านย่านเคยเนา
|
ดึกสงัดลมโยกป่าโกรกแกรก
|
พี่ลุกแหวกมุ้งแลเห็นแต่เขา
|
มืดทมึนดำเห็นเป็นเงาเงา
|
พี่สุดเศร้าหวิวหวาดอนาถมาน
|
เสียงเสือสางครางคลั่งริมฝั่งน้ำ
|
เสือห่างถ้ำล่วงล้ำลำละหาร
|
เหมือนพี่พรากจากรักมาดักดาน
|
หลายวันวารเวทนาเอกาไกล
|
พี่พร่ำเพ้อฟังเสียงสำเนียงสัตว์
|
ดึกสงัดสิ้นศัพท์จึ่งหลับไหล
|
จนรุงโรจน์โชติแจ้งแสงอุทัย
|
จึงตื่นได้สำนึกรู้สึกกาย
|
นายท้ายบงการให้เรือไคลเคลื่อน
|
พี่ฟังเฟือนเคลิ้มฝันสำคัญหมาย
|
ว่าน้องยามาแอบแนบพี่ชาย
|
จนเรือส่ายหลบคลื่นจึงตื่นตา
|
ถึง"นายม"ตรมใจชวนให้คิด
|
นาสถิตหนไหนไกลเคหา
|
นาของพี่อยู่หว่างกลางวนา
|
แต่จากมานาไหนมิได้ทำ
|
ท่าขมวดเรือมาถึงท่าแล้ว
|
เห็นแต่แนวป้าไม้หทัยหวำ
|
ลงเรือนมาพบแต่แง่ระกำ
|
พี่แสนช้ำใจเขม่นมิเห็นนาง
|
ถึง"บ้านแก่ง"น้ำแหล่งนี้แรงเชี่ยว
|
ไหลคดเคี้ยวโดนฝั่งดังโผงผาง
|
ฟังคล้ายเสียงฟ้าร้องกึกก้องคราง
|
ยามห่างนางพี่ไห้ในมโน
|
ถึงท่าลาวลาวไทยใช่ใครอื่น
|
ไทยเคยรื่นร่วมรักลาวอักโข
|
ไม่เคยแตกแยกทางทำวางโต
|
เมื่อยามโซช่วยกันจรรโลงเวียง
|
ถึงคลอง"มาด"อนาถนักเพราะรักมาก
|
ยามตกยากแต่งคำแทนน้ำเสียง
|
ให้น้องเห็นสาส์นร่ำต่างสำเนียง
|
เหมือนจำเรียงกล่อมใจในที่นอน
|
ถึงตกใจใจพื่นี้พิสุทธิ์
|
แต่ใจนุชจะไฉนใจสมร
|
จะผุดผ่องอย่างไรให้อาวรณ์
|
ยิ่งพี่จรจากไกลไม่แจ้งจริง
|
ถึงระวิงใจยิ่งประวิงรัก
|
สายน้ำสักซัดให้ไกลน้องหญิง
|
แต่ความรักพี่ไซร้ไม่ไหวติง
|
ซื่อต่อมิ่งสมรแม่ไม่แปรปรวน
|
ถึงน้ำรังวังเวงฟังเพลงนก
|
เผ่าวิหคพลอดรังฟังโหยหวล
|
เขาพลอดคู่จู๋จี๋คล้ายปี่ครวญ
|
ช่างเร้าชวนให้พี่ฤดีตรอม
|
ยามอยู่เหย้าเคยชวนนวลสวาท
|
ยุรยาต์เที่ยวถิ่นกระฐินหอม
|
เสียงนกร้องก้องวนาป่าพยอม
|
น้องเหนี่ยวน้อมพี่นั่งฟังกระทา
|
นุชว่านั่งแนบเรียมนี้เปี่ยมสุข
|
ทุกสิ่งปลุกใจเคลิ้มเพิ่มหรรษา
|
เรียมมีกรรมจำพรากจากเจ้ามา
|
สุดเหว่ว้าโดยเดียวเปลี่ยวกมล
|
ถึง"พาทย์ฆ้อง"ฆ้องวงส่งเสียงแว่ว
|
ระนาดแจ้วปี่ชะวาก้องกาหล
|
อึกทึกกึกก้องแถบท้องชล
|
เพราะตำบลบ้านนี้เขามีงาน
|
เห็นผู้คนเกลื่อนกล่นอยู่บนฝั่ง
|
บ้างหยุดยั้งบ้างพร่ำกล่าวคำขาน
|
บ้างเมาเหล้าโซเซเก้กังคลาน
|
บ้างสำราญร่องเร่งเพลงดอกดิน
|
ประเพณีแต่งงานชาวบ้านนอก
|
เขาบอกกล่าวช่วยเหลือเอทรัพย์สิน
|
ทั้งเหล้ายาอาหารเครื่องการกิน
|
พวกเขายินดีเจิอช่วยเหลือกัน
|
ถึงมอญขุดรู้สึกพิลึกหลาก
|
คลองกว้างมากมอญขุดสุดขยัน
|
มีจำนวนคนถึงร่วมหนึ่งพัน
|
เพื่อหมายมั่นฆ้องใหญ่ใต้สุธา
|
ขุดเท่าไรที่ไหนไม่พบฆ้อง
|
ถึงกับต้องย่อยยับดับสังขาร์
|
ทั้งพันคนไม่ปลอดรอดชีวา
|
คลองชื่อว่าคลองขุดดุจเรื่องมี
|
ถึงท่าแดงแฝงเรือเพื่อผ่อนพัก
|
แต่ร้างรักแรมในกลางไพรสี
|
พบแต่ความเหว่ว้าในราตรี
|
ฟังภูตผีป่าร้องสยองใจ
|
คืนนั้นฝนร่วงฟ้าอากาศชื้น
|
เสียงครวญครืนน้ำป่าซ่าซ่าไหล
|
ผสมเสียงฟ้าคร่ำร่ำพิไร
|
ดุจคนไข้โหยหวลจวนสิ้นลม
|
พี่นอนฟังอกตรมระทมเทวศ
|
ไยมีเหตุกลางคืนยามขื่นขม
|
โรคร้างรักร่างผอมเพราะตรอมตรม
|
ซ้ำผสมธรรมชาติอนาถแด
|
ลมอวลไอกาหลงส่งกลิ่นเกลี้ยง
|
ค่อยเงียบเสียงน้ำลาดสาดกระแส
|
พี่ม่อยหลับระงับนอนเพราะอ่อนแอ
|
จนไก่แซ่ขันขึ้นจึงตื่นนอน
|
เรือเข้าโค้งกองทูลสูรย์สาดฟ้า
|
วิหคร่าเริงร้องก้องศิงขร
|
พอทอแสงทองส่องเช้าดุเหว่าวอน
|
ขุนทองร่อนเริงลมชมสุรีย์
|
กางเขนเต้นเผ่นปร๋อจับตอจิก
|
ขยุกขยิกปีกผินแล้วบินหนี
|
ทิ้งทูตร้องปลุกลั่นสั่นพงพี
|
ฝูงปักษีแซ่ซ้องกึกก้องดง
|
ท่า"ตะเคียน"เรือล่วงพ้นห้วงน้ำ
|
พี่กลืนกล้าความรักหักลุ่มหลง
|
หลายราตรีห่อนหายเคลื่อนคลายลง
|
รักยังคงมัดมั่นไม่บรรเทา
|
นางตะเคียนช่วยทีปราณีข้าฯ
|
เชิญยุพามานี่ที่เนินเขา
|
แม้นสมหวังดังคิดสมจิตเรา
|
เครื่องเซ่นเหล้าเป็ดไก่จะให้พอ
|
เรือเลียบสักพักหนึ่งถึงย้องแย้ง
|
ความเหี่ยวแห้งรักลึกมิสึกหรอ
|
รักท่วมท้นผูกพันกระสันคอ
|
ยิ่งห่างหอยิ่งเหี่ยวเปล่าเปลี่ยวใจ
|
ถึงปากโบสถ์คราวบวชเคยสวดยัด
|
ท่านอุปัชฌาช์เคยบวชแล้วสวดให้
|
พี่สวดมนต์บ่นภาวนาไป
|
ขอให้ได้น้องอยู่คู่ประคอง
|
เดชะบุญจึงสมอารมณ์รัก
|
บุญช่วยชักให้พธูเป็นคู่สอง
|
สมประสงค์ดังจิตที่คิดปอง
|
แต่กรรมจองร้างมาน่าเสียดาย
|
ถึงท่าโพดยามค่ำเรือจำพัก
|
นายท้ายหักหัวทอดจอดที่หมาย
|
ทุกคนหยุดงานกันพลันสบาย
|
แต่พี่หน่ายเหนื่อยใจไม่สำราญ
|
ความสุขยืนยงตรงไหนแน่
|
ปราชญ์ว่าแท้จริงสุขทุกสถาน
|
อยู่ที่ความหวังตั้งจีรังกาล
|
ความหวังบาลดวงใจให้สบาย
|
ถ้าไร้หวังแล้วตั้งรังแต่ทุกข์
|
หาสิ่งปลุกปลอบอารมณ์ไม่สมหมาย
|
แม้นสมคิดจิตเยี่ยมเปี่ยมสุขกาย
|
แสนสบายผาสุกทุกคืนวัน
|
รุ่งเช้าออกเรือล่องตามคลองคด
|
ได้กำหนดนายท้ายเร่งผายผัน
|
เรือล่องเลื่อยเอื่อยมาไม่ช้าพลัน
|
ผ่านโค้งอันคดเคี้ยวเรือเลี้ยวเลย
|
ตอนน้ำสักควั่กไหลเรือไววิ่ง
|
โอ้! ยอดมิ่งมารศรีของพี่เอ๋ย
|
หากน้องมาพี่จะพาหน้านวลเชย
|
พลอดภิเปรยชมฝ่ายสายวารี
|
เห็นคางเบือนน้องคงงอนค้อนควักพี่
|
เรียมเซ้าซี้เจ้าจะหยิกพลิกผลักหนี
|
พี่เห็นงามก็จะตามไปพาที
|
แต่คราวนี้ได้แต่ตรึกนึกรำคาญ
|
เห็นปลาว่ายชายฝั่งสพรั่งพวก
|
บ้างเบี่ยงบวกกันเปรมเกษมสานต์
|
ส่วนตัวเรียมร้างรักมาดักดาน
|
ทรมานหมองหมางไม่สร่างซา
|
ถึง"ตะแบก"แปลกใจไม้ตะแบก
|
ใยจึงแตกกิ่งกลายหลายสาขา
|
ลำต้นเดียวกิ่งมากแลหลากตา
|
ดังโมราใจแตกแยกรักโจร
|
สามีนางรูปโฉมประโลมจิต
|
นางกลับคิดนอกใจใฝ่โลดโผน
|
ส่งอาวุธให้ชู้ผู้หยาบโลน
|
สามีโดนฆ่าตายวายชีวี
|
ชาติหญิงบาปหยาบช้าโมราเอ๋ย
|
กระไรเลยใจร้ายคล้ายยักษ์ผี
|
ผัวแสนรักเจ้าไยไม่ปราณี
|
ชาติกาลีโมราแม่บ้าชาย
|
ครุ่นคำนึงเรือล่องตามท้องน้ำ
|
ลูกท่อจ้ำแจวส่งตรงที่หมาย
|
เรือลอยน้ำเลียบลาดเลาะหาดทราย
|
ตะวันบ่ายลมตกเสียงนกครวญ
|
ถึง"ท่าตะเคียนคบ"ไม่พบนุช
|
พี่แสนสุดเศร้าใจฤทัยหวล
|
แต่ร้างรักหนักให้ใจรัญจวน
|
ดวงแดป่วนปิ้มว่าชีวาวาย
|
ถึงวิเชียรบุรีธานีเก่า
|
นายท้ายเบาเรือทอดจอดที่หมาย
|
ลูกถ่อยั้งนั่งนอนพักผ่อนกาย
|
ค่อยสบายอารมณ์ตามสมควร
|
กินข้าวแล้วเมื่อยล้าพากันหลับ
|
ส่วนพี่กลับคิดน้องปองสงวน
|
เจ้าอยู่หลังชื่นฉ่ำหรือคร่ำครวญ
|
แต่เรียมล้วนตรอมตรมระทมทวี
|
เสียงสัตว์ป่าครวญครางเมื่อกลางดึก
|
เรียมรู้สึกเงียบเหงาเศ้าหมองศรี
|
ยิ่งเดือนดำคล่ำฟ้าคู่ราตรี
|
ยิ่งทวีเหว่ว้าแสนอาดูร
|
เสียงไก่ป่าขันเพรียกเรียกอาทิตย์
|
ความอ่อนจิตรเหนื่อยใจไม่สร่างศูนย์
|
ฟังสำเนียงเสียงไก่ใจยิ่งพูน
|
ทวีคูณคิดคนึงถึงพังงา
|
กำลังตรินิยมสมบัติบ้า
|
ก็พอฟ้าขาวกลาดดาดเวหา
|
แสงเงินทองผ่องฉายพรายนภา
|
เสียงนกการ้องเตือนเพื่อนออกรัง
|
คนเรือบอกออกเรือเมื่อยามรุ่ง
|
ลูกถ่อพุ่งถ่อแทงอย่างแข็งขลัง
|
เรือแล่นฟ่องล่องพ้นน้ำวนวัง
|
เรียมเหลียวหลังว่าน้องล่องเรือตาม
|
ถึง"ท่ากลุ่ม"กลัดกลุ้มรักสุมอก
|
คิดวิตกรักแยกแตกสองสาม
|
กังวลที่พี่ร้างห่างโฉมงาม
|
ทุกโมงยามคนึงน้องนองน้ำตา
|
ถึง"นากอก"ใครกลอกกลับหลอกล้อ
|
ให้เวรก่อกรรมกวนส่วนสุขา
|
ทุกข์ประจำช้ำใจไร้ราคา
|
รับแต่อาดูรดลก่นระทม
|
นาวาลอยคล้อยเคลื่อนใจเพื่อนเคลิ้ม
|
ยิ่งเพียบเพิ่มรักกลับเข้าทับถม
|
พี่มาไกลกายยอมใจตรอมตรม
|
ทุกข์ระทมเป็นเจ้าเผาดวงแด
|
ท่า"ศาลา"เรือผ่านเห็นบ้านช่อง
|
พี่มุ่งมองด้วยห่วงเจ้าดวงแข
|
สาวที่ไหนใช่นุชพี่สุดแล
|
มองเห็นแต่คนอื่นไม่ชื่นใจ
|
ถึง"ศรีเทพ"เทพสถิตย์ทิศไหนแน่
|
เรียมเหลือบแลเพ่งหาแหล่งอาศัย
|
ของทวยเทพศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร
|
เพื่อกราบไหว้วอนพระองค์ทรงเอ็นดู
|
ให้พิทักษ์รักษาสุดาพี่
|
ไร้โรคีรันทดสิ่งอดสู
|
กราบแล้วเอ่ยเผยปากฝากโฉมตรู
|
ให้ริปูพ่ายแพ้แก่ทรามชม
|
เลยศรีเทพเรือมาถึงนาตะกรุด
|
พี่ห่างนุชโศกสะอื้นแสนขื่นขม
|
ทุกโอกาสขาดแต่แง่เริงรมย์
|
ความระทมยิ่งใหญ่ไม่รู้เลือน
|
ตะกรุดเป็นเครื่องลางทางเสน่ห์
|
ช่วยถ่ายเทรักมั่นกระสันเหมือน
|
รักพี่น้องพ้องกันอย่าฟั่นเฟือน
|
ตะกรุดเตือนนุชให้มีใจเดียว
|
พอพลบเรือถึงแหล่งนามแก่ง"ภาค"
|
น้ำเชี่ยวมากเห็นหาดน่าหวาดเสียว
|
ชลพลั่งพลั่งหลั่งไหลไปเป็นเกลียว
|
ท้ายไม่เชี่ยวต้องจมล่มนาวา
|
แต่ท้ายพี่แกเก่งคอยเกร็งข้อ
|
ตั้งตัวปร๋อตาจ้องมองหินผา
|
กุมหางเสือเรือล่องเข้าคลองมา
|
ไม่พลาดท่าพ้นแก่งถึงแหล่งนอน
|
เรือเลียบทอดจอดนอนตอนท้ายแก่ง
|
ระพีแสงจางดับลับศิงขร
|
คนเรือเหนื่อยล้มพับต่างหลับนอน
|
พี่อาวรณ์ถึงน้องหมองกมล
|
น้ำแก่งภาคไหลหลั่งดังซ่าซ่า
|
กระทบผาเพียงฟ้าโกลาหล
|
อึกทึกกึกก้องทั่วท้องชล
|
นฤมลมาฟังคงวังเวง
|
เสียงโครมโครมน้องจักโถมกายกอดพี่
|
พูดอู้อี้ออเซาะให้เหมาะเหม็ง
|
พี่จะปลอบขวัญตาว่าเสียงเพลง
|
สวรรค์บรรเลงกล่อมห้องสองรักเรา
|
เรียมคร่ำครวญป่วนใจจนไหลหลับ
|
สุบินกลับไปโลมโฉมเฉลา
|
โอ้พิษรักร้ายแรงไม่แบ่งเบา
|
เรียมรักเจ้ายากเทียบเปรียบสิ่งใด
|
อรุณเรื่อเรือพรากออกจากฝั่ง
|
ไม่รอรั้งลอยลำตามน้ำไหล
|
ริ่วริ่วเรื่อยล่วงล้ำไม่ร่ำไร
|
ถึงน้ำใหญ่สะดวกดีเร่งลีลา
|
ท่า"มะดูก"เรือผ่านเห็นบ้านช่อง
|
เรียงรายสองฝั่งธารบ้านแน่นหนา
|
มะดูกสุกสีสดรสโอชา
|
จากน้องมารสมะดูกไม่ถูกคอ
|
ถึง"บัวชุม"บัวมีอยู่ที่สระ
|
ชื่อบัวปทุมทองของเคียงหอ
|
บัวงามใดในมนุษย์สุดละออ
|
มีเทียมช่อบัวสวรรค์ของกัลยา
|
เรียมจากไกลอาลัยร้างห่างบัวทิพย์
|
สุดจะหยิบปกปักอารักขา
|
แสนเสียดายบัวนางยามร้างรา
|
ประทุมาของพี่คงคลี่งาม
|
เรือถึง"ท่าสีดา"นิจจาเอ๋ย
|
สีดาเคยมาไหมใครขอถาม
|
นางเป็นยอดหญิงชื่อระบือนาม
|
ของพระรามล้ำฟ้าองค์นารายณ์
|
น้องควรถือซื่อสัตย์สมบัติเยี่ยม
|
ให้ทัดเทียมลักษมีเป็นที่หมาย
|
สีดาถือซื่อจริงยิ่งความตาย
|
เป็นเพชร์พรายเลิศค่าของนารี
|
น้องจงซื่อเช่นนี้นะที่รัก
|
เพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเฉลิมศรี
|
เป็นหญิงครองสัตยาต่อสามี
|
ทั่วธาตรีสรรเสริญเจริญพร
|
เรือถึง"ท่ามะนาว"ครางพลัดถิ่น
|
จิตถวิลส้มมะนาวคราวสมร
|
ตำน้ำพริกกระปิดีศรีนคร
|
ลือขจรเมืองระยองเป็นของจริง
|
อร่อยมากปรุงดีฝีมือน้อง
|
เข้าทำนองคำเก่าเล่าชมหญิง
|
เสน่ห์จวักผัวรักประจักษ์จริง
|
น้องเป็นหญิงถูกคำในตำรา
|
สมบัติหญิงรู้หุงปรุงอาหาร
|
ทั้งคาวหวานงานปักการรักษา
|
รู้ครองทรัพย์ครองคนสั่งสนธนา
|
รู้โอภาปราศรัยผูกไมตรี
|
เช่นนี้ได้ชื่อว่านารีรัตน์
|
เป็นสมบัติบอกเด่นเป็นเกียรติ์ศรี
|
น้องพร้อมแล้วเป็นแก้วแห่งสามี
|
ทวยเทพีโมทนาสาธุการ
|
บางบังอรหล่อนถือสมัยใหม่
|
ไม่ใส่ใจต้องหุงปรุงอาหาร
|
ทำไม่เป็นแกล้มกับรับประทาน
|
ภัตตาคารเป็นที่กินสิ้นละอาย
|
หญิงเช่นนี้มีมากหลากเมืองหลวง
|
สุดาดวงอย่างคิดเป็นมิตรหมาย
|
จงหลีกเว้นให้ไกลอย่าใกล้กราย
|
พี่เป็นชายยังกลัวไม่พัวพัน
|
เรือมาถึง"ลันตะลุง"เป็นคุ้งคด
|
น้ำเลี้ยวลดที่เขินเป็นเนินสัน
|
ชื่อของบ้านมีลุงมุงสำคัญ
|
เขาเล่ากันปางหลังเรื่องยังมี
|
อันเรื่องเก่ามีอยู่ทุกหมู่บ้าน
|
เป็นนิทานเล่าไว้ใช่เสียดสี
|
กลับถึงบ้านจะเล่าเค้าคดี
|
ให้ยาหยีฟังเล่นเย็นสราญ
|
เรือเลียบฝั่งลอยล่องตามท้องสัก
|
มาหลายพักล่วงล้ำลำละหาน
|
ถึง"สำโรง"โค้งเคี้ยวเรือเลี้ยวนาน
|
ท้ายทำการไม่พลั้งระวังเรือ
|
จึงปลอดภัยไคลคลา"ท่ามะกอก"
|
นายท้ายบอกคนถ่อขอช่วยเหลือ
|
ลูกถ่อแทงแรงเนื้อหนุนเข้าจุนเจือ
|
บังคับเรือเร็วมาในสาคร
|
ถึง"ตะเคียนน้ำซา"ช่างว้าเหว่
|
เรือลอยเร่เลียบทางเข้าข้างขอน
|
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างริมทางจร
|
ที่ยกกรอัญชุลีเจ้าที่ทาง
|
กล่าวสุนทรวอนไหว้ให้พิทักษ์
|
ล่องน้ำสักกลับช่องไร้หมองหมาง
|
จนสุดสิ้นเสร็จสรรพกลับถึงนาง
|
เรียมร่ำพลางนาวาผ่านท่าไป
|
ถึงอำเภอ"ชัยบาดาล"สะท้านจิต
|
ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเยี่ยมไสล
|
จอดนาวาพักผ่อนเพื่อหย่อนใจ
|
มองผู้ใดไม่ยักรู้จักเลย
|
แต่เที่ยวเดินเล่นไปในตลาด
|
คนเกลื่อนกลาดทุกผู้ไม่อยู่เฉย
|
บ้างซื้อขายจ่ายหมุนด้วยคุ้นเคย
|
บ้างเฉลยตอบต่อขอซื้อกัน
|
ที่เห็นเขาเศร้าจิตคิดถึงนาฏ
|
น้องฉลาดซื้อขายจ่ายจัดสรรค์
|
มีความรู้เรื่องดีมีอนันต์
|
พี่ชมขวัญต่อหน้าน้องท่างอน
|
โอ้มาเดียวเปลี่ยวใจอาลัยรัก
|
อกจะหักเพราะคำนึงถึงสมร
|
เห็นหญิงอื่นดื่นไปในนคร
|
ไม่เทียมอ่อนไท้แม้แต่สักราย
|
ดึกสมควรด่วนจนมานอนพัก
|
คิดคนรักทุกข์ใจไม่เหือดหาย
|
จิตชอกช้ำลำเค็ญมิเว้นวาย
|
พิรุณปรายโปรยมาอุราตรม
|
คิดถึงนุชสุดใจนอนไม่หลับ
|
ยามอาภัพนอนสะอื้นแสนขื่นขม
|
ไหนจะหนาวลมฝนทนระทม
|
หนาวอารมณ์ห่มผ้าไม่ซาคลาย
|
อันหนาวอื่นหนาวแท้พอแก้ได้
|
เรื่องหนาวใจหนาวแท้แก้ไม่หาย
|
เรียมหนาวรักหนาวใจหนาวไม่วาย
|
ใช้กรก่ายหมอนข้างคร่ำครางโอย
|
เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วแว่ววิเวก
|
ดังเสียงเสกขับครวญให้หวลโหย
|
แสงเงินทองรองเรืองประเทืองโปรย
|
ลมชายโชยซาบชวนมวลผกา
|
หอมรินรินกลิ่นยวนชวนระรื่น
|
พี่ค่อยชื่นสูดประทินกลิ่นบุบผา
|
ลุกขึ้นนั่งปลุกเพื่อนเตือนสัญญา
|
ได้เวลาออกเรือเมื่ออรุณ
|
นาวาน้อยลอยมาในสาคเรศ
|
สุดสังเกตุลำเนาภูเขาขุน
|
เพราะความมืดฝนหลั่งยังเป็นทุน
|
ลูกถ่อจุนเรือพอชะลอลอย
|
ครั้นแจ่มแจ้งแสงจ้าอาภาสาด
|
เรือรุดปราดเร็วไปไม่ถดถอย
|
มุ่งลงใด้ไสถ่อไม่รอคอย
|
พี่ละห้อยในเรือเหลืออาลัย
|
"ท่าสำเภา"เบาเรือเพื่ออยากพบ
|
มองจนจบเรือมีอยู่ที่ไหน
|
วานหน่อยได้ไปตามแม่ทรามวัย
|
เรือหาไม่หมดหวังพี่นั่งตรอม
|
ถึง"ท่ามะนาวหวาน"นามบ้านเพราะ
|
วจีเสนาะหวานใจใคร่ถนอม
|
หวานอื่นไม่เท่าปากวากย์ยินยอม
|
หวานปากย้อมจิตอยู่ไม่รู้เลือน
|
"มะนาวหวาน"หวานไฉนใคร่ลองปลูก
|
อยากเก็บลูกเอาไว้ไม่เชือดเฉือน
|
สงวนพันธุ์หวานไว้ติดใจเตือน
|
เสมอเสมือนหวานในหทัยชาย
|
เรือลง"แก่งคันนา"น้ำซ่าเชี่ยว
|
ไหลเป็นเกลียวเร็วแท้กระแสสาย
|
เรือแล่นร่นระยะน้ำกระจาย
|
คนถือท้ายหมายช่องประคองแคม
|
ถึง"หินซ้อน"ตอนที่มีหินหาต
|
ดูเกลื่อนกลาดหินใหญ่อยู่ใต้แหลม
|
เห็นเรือค้าคึกคักจอดพักแรม
|
บ้างถ่อแถมแล่นมาในสาคร
|
วังน้ำตื้นตื้นจิตหวลคิดน้อง
|
เรือลอยล่องเหินห่างร้างสมร
|
น้ำตื้นลึกหยั่งถึงพึงสังวร
|
แต่ใจอรหยั่งไม่ได้หัวใจคน
|
สามวันจากนารีมีใจอื่น
|
พี่ตันตื้นคิดคิดจิตฉงน
|
คำโบราณกล่าวเป็นเห็นชอบกล
|
หัวใจคนเช่นพี่นี้แสนกลัว
|
ถึง"วังม่วง"ห้วงน้ำแลลำหลาก
|
เวิ้งชะวากมองเขม้นเห็นสลัว
|
กระแสชลเป็นละอองมองมืดมัว
|
พี่ตรวจทั่วทั่วไปไม่พบนาง
|
เห็นมัจฉาเวียนว่ายกลางสายสัก
|
ชะโดปักหัวเร้นเห็นแต่หาง
|
หงอนไก่ว่ายเคียงเพื่อนเห็นเลือนลาง
|
เรียมเริดร้างห่างนุชเห็นสุดมอง
|
จากสมรดั่งมรณ์ไปค่อนร่าง
|
กมลหมางหมองหม่นกมลหมอง
|
โอ้เวรเอ๋ยเวรกรรมช่างจำจอง
|
เรียมห่างน้องสุดเหงาเศร้าทรุดซม
|
ก่นแต่เศร้าเฝ้าแต่โศกวิโยกยาก
|
ทุกข์เพราะจากมากเพราะกรรมซ้ำผสม
|
แสนเทวศสุดทวีฤดีตรม
|
ทรวงระทมบ่มระกำทุกค่ำคืน
|
เรือถึง"แก่งแสลงพัน"พรั่นอุระ
|
เป็นระยะร้ายแรงต้องแข็งขืน
|
สำรวมใจกล้าหาญทะยานยืน
|
เรือสู้คลื่นหลบล่องตามคลองคลา
|
พวกพี่ช่วยกันถ่อมิย่อย่น
|
กลัวเรือชนหินจมล่มถลา
|
เพราะเคยเป็นเช่นนี้ทุกปีมา
|
เราพร้อมหน้าไม่พลั้งระวังระไว
|
ด้วยกลมเกลียวเอาการเรือผ่านพ้น
|
เราทุกคนยินดีจะมีไหน
|
แก่งร้ายกลืนไม่ลงเรือตรงไป
|
พ้นแก่งภัยพี่มีความปรีดา
|
สูรย์ลับหล้าฟาดล้ำดำสนิท
|
ชวลิตดาวเรืองเบื้องเวหา
|
เราหยุดยั้งฝั่งแนบแอบนาวา
|
ที่ตรงท่าท้าย"แก่งแสลงพัน"
|
ต่างเหนื่อยอ่อนผ่อนผันพากันหลับ
|
มาได้ศัพท์เมื่อแจ้งแสงสูรย์ฉัน
|
คนตื่นก่อนร้องเตือนปลุกเพื่อนกัน
|
นายท้ายหันมาบอกออกหัวเรือ
|
เรือเคลื่อนคล้อยลอยพรากออกจากฝั่ง
|
พี่เหลียวหลังเพ่งพินิจทางทิศเหนือ
|
เห็นท้องฟ้ามืดครุ้มเมฆคลุมเครือ
|
ไม่เหมือนเมื่อวันมาอากาศดี
|
ผ่าน"ท่าเสา"เข้ามา"ท่าตะขบ"
|
เห็นวิหคเคียงคู่ร้องจู๋จี๋
|
จับกิ่งไม้ไซ้ขนบนจำปี
|
ขุนนกมีคู่ครองร้องร่าเริง
|
เจ้านกเอ๋ยสุขไฉนให้ประจักษ์
|
อันความรักแรกใหม่ทำให้เหลิง
|
ควรถนอมฉันคู่ให้รู้เชิง
|
ยามบันเทิงเคลียคลอพอประมาณ
|
เรื่องรักนี้ยามดีก็ดีหนัก
|
เมื่อยามหักอกหักรักหักหาญ
|
เป็นวิสัยโลกปฐมมานมนาน
|
ถ้ารักผลาญแล้วเปลี้ยถึงเสียคน
|
มาถึง"หาดสองแคว"ชะแง้ชะงัก
|
หาดใยมียักแยกครองสองสถล
|
แม้นใจเจ้าแยกสองดังครองวน
|
พี่จักหม่นหมองแยกอกแตกตาย
|
คิดความหวังมากไว้ดวงใจพี่
|
เป็นนารีสัตย์ซื่อคือเครื่องหมาย
|
แห่งความดีเด่นกระเดื่องเฟื่องกระจาย
|
บุรุษหมายเช่นนี้ความดีนาง
|
ผ่าน"บ้านท่าศาลา"นาวาเคลื่อน
|
ดูพวกเพื่อนสุขใจไร้หมองหมาง
|
คุยกันว่าถึง"ท่าศาลากลาง"
|
เห็นท่าทางบ้านนี้มีหญิงงาม
|
พี่ฟังเขาคุยกันขันสนุก
|
ทรงกายลุกเห็นใครจะไต่ถาม
|
เรื่องระยะทางไปให้ได้ความ
|
แต่เป็นยามที่ไม่มีใครมา
|
ถึง"บ้านธาตุ"วาดเรือเหนือขอบคุ้ง
|
นายท้ายมุ่งไม่ผิดถูกทิศา
|
เพราะชำนาญทางได้เคยไปมา
|
แกคุยว่ารับรองการล่องลง
|
"ท่าศรีโพธิ์"โพธิ์ทองของพระพุทธ
|
องค์พิสุทธิ์สูงชาติราชหงษ์
|
โปรดปกปักรักไว้ให้ยืนยง
|
แม้พระองค์พ้นย่านด่านโลกีย์
|
ขอเอ็นดูปวงสัตว์ผู้ขัดยาก
|
แสนลำบากสุดเลี่ยงบ่ายเบี่ยงหนี
|
เรื่องรักใคร่ใฝ่หาทุกนาที
|
โปรดปราณีข้าพระองค์ทรงการุณ
|
พี่พร่ำเพ้อเผลอไพล่เพราะใจบ้า
|
เสน่หาผูกมานจึงพลล่านฉุน
|
อ้อนวอนพระช่วยข้างผิดทางบุญ
|
เพราะพี่ครุ่นรักหลงจึงงงงวย
|
ถึง"แก่งคอย"คอยเจ้าเฝ้าร่ำรัก
|
"แก่งคอย"ชักคอยน้องปองคนสวย
|
น้องคอยพี่โชคส่งคงอำนวย
|
บุญคงช่วยเราสองคืนครองกัน
|
คืนนั้นพัก"แก่งคอย"ระห้อยจิต
|
พี่นอนคิดหม่นไหม้จนไก่ขัน
|
พอหลับตาผวาตื่นแสนตื้นตัน
|
จนตะวันส่องแสงแดงเรื่อเรือง
|
เรือคล้อยเคลื่อนจิตยังภวังศ์เคลิ้ม
|
ต้องนอนเพิ่มจนสีระพีเหลือง
|
จึงลุกนั่งตั้งหน้าตาชำเลือง
|
แลบ้านเมืองทิวป่าพนาลัย
|
ถึง"บ้านม่วง"ม่วงดีมีสมชื่อ
|
เขาขายซื้อกันตามยามสมัย
|
เรามาพ้นคราวกาลทะยานใจ
|
จิตเรียมใคร่ชิมฉ่ำอัมพวัน
|
ถึง"สองคอน"ซ้อนสองว่าต้องห้าม
|
ถ้ามีสามถูกตำราว่าอาถรรพ์
|
แต่มีใจเดียวไม่เกี่ยวพัน
|
ซื่อต่อขวัญใจพี่ไม่มีแปร
|
เรื่องวาจาถ้าพบสบสาวน้อย
|
ขอกล่าวถ้อยชมสุดาว่าดวงแข
|
เจริญโฉมประโลมใจน่าใคร่แล
|
กล่าวล้วนแต่คำควรชวนอารมณ์
|
ปลุกหัวใจให้บานสราญรื่น
|
ไม่ขัดขืนติเตียนเปลี่ยนประสม
|
ยิ่งห่างห้องต้องมาอุราระทม
|
ยิ่งมีลมปากเปลาะพูดเลาะราย
|
ถึง"เตาปูน"สุริย์สว่างพรายพร่างฟ้า
|
เป็นเวลาทินกรค่อนข้างสาย
|
คิดถึงน้องหมองใจไม่สบาย
|
พี่สอดส่ายเนตรหาพงางอน
|
ไม่พบเจ้าเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจหนัก
|
เคยร่วมรักสุโขสโมสร
|
โอ้ยามนี้พี่ยากจำจากจร
|
ดูสมรอื่นแทนไม่แม้นนวล
|
ถึง"บ้านแพะ"เรือแวะเข้าแมะฝั่ง
|
มีคนนั่งฮาเฮบ้างเสสรวล
|
ต่างพูดพร่ำคำสนิทชื่นชิดชวน
|
หัวเราะร่วนสรวลสันต์จำนรรจา
|
เพ่งหาน้องของพี่ไม่มีอยู่
|
แสนอดสูไร้รื่นชื่นหรรษา
|
ขาดน้องไปเหมือนพี่ไร้ชีวา
|
อนิจจารักหนอช่างทรมาน
|
ถึง"หนองบัว"บัวน้องผ่องโอภาส
|
แลวิลาสน่ารักเป็นหลักฐาน
|
ได้ส่วนตั้งงามสมชมสะคราญ
|
ยิ่งมองนานยิ่งตรึงดึงดูดแด
|
ถึง"ปากเพรียว"เหลียวหาแก้วตาพี่
|
ทั่วธานีเปล่าปราศขาดดวงแข
|
พี่สอดสายตาเพ่งเฝ้าเล็งแล
|
ยังขาดแม่ยอดหญิงมิ่งขวัญใจ
|
แวะไปจ้างเรือให้เรือไฟพ่วง
|
เพื่อลุล่วงเร็วลำตามน้ำไหล
|
เรือไฟฉุดแล่นล่องดูว่องไว
|
เรือกลไฟแล่นห้อไม่รอรา
|
ลูกถ่อต่างปรีดีมีความสุข
|
พูดสนุกคุยกันแสนหรรษา
|
พี่ร่วมวงเสสรวลชวนเฮฮา
|
ศิลป์ว่าจ่าเลิศยิ่งกว่าสิ่งใด
|
ต่างพันผูกปลูกจิตให้ชิดชอบ
|
รู้จักมอบรู้เชิงระเริงไข
|
รู้ในจิตมิตรภาพปลื้มปราบใจ
|
รู้จักให้รู้จักหวงไม่ล่วงเกิน
|
เรือไฟฉุดรุดเข้าเขต"เสาไห้"*(*อำเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี)
|
สูรย์ลับไม้แมกเงาภูเขาเขิน
|
เรือจำจอดเสาไห้ไม่ออกเดิน
|
ลูกเรือเพลินลงเที่ยวลดเลี้ยวไป
|
"เสาไห้"ตามคำเล่าของเฒ่าแก่
|
มีเรื่องแต่โบราณท่านขานไข
|
เล่าสืบต่อกันมาคราไรไร
|
ว่ามีไม้ต้นหนึ่งดุจกลึงเกลา
|
มีนามว่าต้นมาศวิลาศลักษณ์
|
ลำต้นยักษ์สูงเยี่ยมเทียมขุนเขา
|
ตอยังอยู่"วังบาล"*ใช่ขานเดา(*ตำบลวังบาลอำเภอหล่มเก่าจังหวัดเพชรบูรณ์)
|
ความใหญ่เท่าเรือนชานบ้านช่องคน
|
พระขึ้นนั่งบนตอยังพอร้อย
|
เครื่องใช้สอยวางได้ไม่สับสน
|
เป็นต้นไม้โตใหญ่ในตำบล
|
ทุกแห่งหนหาไหนไม่เทียมทัน
|
จึงถูกโค่นเข็นไปในน้ำสัก
|
เพื่อทำหลักเมืองไทยไอยสวรรค์
|
ใน"กรุงเทพฯพระนคร"บวรอนันต์
|
"ชาวลม"นั้นส่งไม้ไม่ทันกาล
|
เมืองอื่นนั้นส่งก่อนได้ชัยชำนะ
|
"เมืองลม"ละล่าช้าน่าสงสาร
|
ไม่ทันเพื่อนเคลื่อนหมายหลายวันวาร
|
ขอนเดือดดาลลอยลับกลับธานี
|
ลิ่วลิ่วขึ้นเหนือสักไม่ชักช้า
|
ร่ำโศกาครวญฟังดังเสียงผี
|
ถึง"เสาไห้"เสาโอ้โอดโศกี
|
นามบ้านนี้"เสาไห้"ดังไขความ
|
เรือจอดนอน"เสาไห้"มาไกลรัก
|
พี่ซบพักตร์ร่ำไห้ฤทัยหวาม
|
เสาร่ำไห้พี่โหยโอยโอยตาม
|
ทุกโมงยามไห้หาสุดาดวง
|
รุ่งเช้าได้เวลาเรือคลาเคลื่อน
|
แล่นรุดล่วงเลยมาถึง"ท่าหลวง"
|
รักรึงรัดกลัดกลุ้มเข้าสุมทรวง
|
เรียมจากห้วงรักมาแสนอาลัย
|
ถึง"ท่าหลวง"แลดูประตูน้ำ
|
พิลึกล้ำปูปลาได้อาศัย
|
ถ้าแม่มาจะพายอดยาใจ
|
ลงเรือไปเที่ยวชมยมนา
|
พี่มาเดียวดูใดไม่สนุก |
อันความสุขคือนาฏผู้ปรารถนา
|
เรียมไกลนุชชมใดไร้ราคา
|
แต่จากมาทุกข์ทับยากปรับปรุง
|
"ท่าลาน"มีอาคารตระหง่านสง่า
|
โรงอุตสาหกรรมทำเหล็กถลุง
|
เรือแล่นพุ่งมุ่งหน้าเข้าหากรุง
|
เลยขอมคุ้งน้ำมาถึง"ท่าเรือ"
|
|
ภาพถ่าย ลำน้ำป่าสัก หรือ แม่น้ำป่าสัก ในปี พ.ศ. 2557
|
เห็นผู้คนสับสนอลหม่าน
|
รถไฟผ่านล่องจากเมืองภาคเหนือ
|
พวกญาติมิตรเกื้อหนุนคอยจุนเจือ
|
มารับเมื่อรถมาสถานี
|
พี่มองหาคิดว่าพังงาอยู่
|
เมื่อเพ่งดูใช่นาฏสะอาดศรี
|
เห็นหญิงอื่นดื่นไปใช่นารี
|
เรียมสุดที่จะเข้าไปเล้าโลม
|
เรือเลยมาถึงท่า"อรัญญิก"
|
สมาชิกร่วมมาชื่อตาโฉม
|
แกว่าเคยอยู่นี่มีญาติโยม
|
ส่วนพี่โทรมนัสอึดอัดแด
|
เพราะไร้ญาติขาดมิตรที่ชิดชอบ
|
ซ้ำประกอบไกลนางต้องห่างแห
|
ยังช้ำใจไกลรักสุดจักแล
|
กมลแปล้เปี่ยมเศร้าทุกเช้าเย็น
|
"อรัญญิก"ลือล้ำเรื่องทำมีด
|
ว่าปราณีตเหล็กดีเท่าที่เห็น
|
ขากลับจะซื้อไปให้เนื้อเย็น
|
เพื่อทำเป็นมีดใช้กิจในครัว
|
เรือแล่นดะถึง"พระนครน้อย"
|
พี่เศร้าสร้อยว้าวุ่นถึงทูนหัว
|
ระกำจิตคิดถึงน้องแสนหมองมัว
|
ให้เงียงัวงุ่นง่านรำคาญใจ
|
แต่จากน้องของหวานทานขมขื่น
|
สิ่งแช่มชื่นกลับหมดไม่สดใส
|
มาแต่ร่างเหมือนพี่ไม่มีใจ
|
ยามอยู่ใกล้น้องดั่งอยู่วังแมน
|
กามเทพสร้างนางไว้ให้พี่รัก
|
เป็นปิ่นปักตรงทรวงพี่ หวงแหน
|
รักมั่นชั่วโลกแหลกลงแตกแตน
|
พี่สุดแสนเสน่ห์นุชสุดชีวี
|
ถึง"หัวรถ"แหล่งดีศรีกรุงเก่า
|
เคยผ่อนเบาเปลื้องทุกข์ได้สุขี
|
ครั้งสงครามตามชิดติดบุรี
|
เคยมาชมเชื้อผีเสื้อไพร
|
แหล่งหล่อนที่มีนาม"มะขามเฒ่า"
|
พวกนงเยาว์โฉมแฉล้มดูแจ่มใส
|
พูดหนักเบาเจ้าหล่อนผ่อนอภัย
|
ยามมึนไปเที่ยวเห็นว่าเป็นดี
|
เรือมาถึง"วังจันทร์"ตื้นตันจิตร
|
พี่เพ่งพิศทั่วไปในกรุงศรี
|
เห็นซากปักหักพังวังบุรี
|
ดูป่นปี้ทั่วไปบรรลัยลาญ
|
คิดความหลังครั้งม่านทำการชั่ว
|
ช่างมืดมัวโฉดเขลาเอาเพลิงผลาญ
|
เหลือแต่เสาเด่โด่ของโบราณ
|
น่าสงสารเวียงไทยสมัยบรรพ์
|
พวกไทยเอ๋ยเห็นไหมเมื่อไทยแพ้
|
เขารังแกเรายิ่งทุกสิ่งสรรพ
|
ไร้ศีลธรรมทำลายร้ายกาจครัน
|
แผลสำคัญมีไว้ให้ไทยจำ
|
มาเพื่อนไทยมาปองเป็นน้องพี่
|
สามัคคีกันไว้ให้งามขำ
|
ความกลมเกลียวเป็นแรงแกร่งกำยำ
|
ใครล่วงล้ำอธิปไตย ไทยสู้ตาย
|
เรือพาพี่พลัดพรากถึง"ปากสัก"
|
แจ้งประจักษ์สิ้นสุดถึงจุดหมาย
|
นาวาจอดทอดลำน้ำกระจาย
|
พี่สั่งท้ายปลดเรือเพื่อพักพา
|
แต่รอนแรมทางมาสาคเรศ
|
สิ้นสุดเขตลงพลันแสนหรรษา
|
น้ำสักรวมเขตเข้าเจ้าพระยา
|
ตรงนี้ท่าทีเหมาะเรียก"เกาะลอย"
|
สวนต้นสักยุธยานเข้า"ด่านซ้าย"
|
ได้ตรวจสายน้ำต่อไม่ท้อถอย
|
เพื่อความรู้ภูมิศาสตร์วาดถูกรอย
|
ใช่พูดพร่อยพร่อยเล่นเจรจา
|
บางคนว่าเกิดเขต"เพชรบูรณ์"
|
ท่านคำนูญผิดพลั้งยังกังขา
|
โปรดแก้ไขถ้อยคำในตำรา
|
ให้ถูกว่าเกิดแหล่ง"แขวงเมืองเลย"
|
ต้นน้ำสักอยู่ย่าน"บ้านกกกอ"
|
ภูกะลอเขาเลิศแลเปิดเผย
|
เขียวชอุ่มพุ่มระยะกระยาเลย
|
มีป่าเตยเต่าร้างสล้างไพร
|
ต้นสักเกิดอยู่ย่านแขวงด่านซ้าย
|
อำเภอปลายทักษิณถิ่นสดใส
|
แผ่นดินสูงลมจรูงเจริญใจ
|
ขึ้นอยู่ในไทยรัฐ"จังหวัดเลย"
|
แต่จากรักลอยลำในน้ำสัก
|
อกแทบหักจึงร่ำคำเฉลย
|
แถลงถ้อยรักล้ำพร่ำภิเปรย
|
โอ้อกเอยชอกช้ำสุดรำพัน
|
ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่จากแล้ว
|
ขอกอดแก้วกกกล่อมถนอมขวัญ
|
เพียงห้าวไรไม่ร้างห่างแจ่มจันทร์
|
ขอแนบขวัญพิศวาทไม่คลาด เอย (จบ)
|